การสั่งสอนธรรม

      ปิดความเห็น บน การสั่งสอนธรรม

            หลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ทรงเสวยวิมุตติสุข คือการเสวยความสุขทางใจที่บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทุกอย่าง ทรงพิจารณาทบทวนหลักการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้มาตลอดยามราตรีทั้ง  3  ในสมัยพระพุทธเจ้านี้จะแบ่งเวลาออกเป็น  3  ยาม  คือปฐมยาม  มัชฌิมยาม  และปัจฉิมยาม ยามละ 4 ชั่วโมง จนแน่พระทัยว่าหลักการที่พระองค์ทรงค้นพบนั้นเป็นหลักการที่ถูกต้องจึงพอพระทัย จากนั้นพระองค์เสด็จไปเสวยวิมุตติสุข  ณ  สถานที่ต่างๆ  ถึง 7  แห่งๆ  ละ 7  วัน  ในแต่ละแห่งก็มีชาวบ้านมากราบถวายสักการะและขอฟังธรรมล้างแล้ว เช่นขณะที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขอยู่ต้นเกตหรือต้นราชายตนะ มีพ่อค้า 2  คน  ชื่อตปุสสะ  และภัลลิกะ  เดินทางมาจากเมืองอื่นมาพบพระพุทธเจ้าเข้า  จึงได้นำข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อน  ที่ตัวเองใช้เป็นเสบียงสำหรับเดินทางมาถวายและได้สนทนาธรรมกับพระองค์เกิดความเลื่อมใส จึงได้แสดงตนเป็นอุบาสก นับว่าเป็นอุบาสกคู่แรกในโลกที่ขอถึงพระพุทธและพระธรรมก่อนใครๆ รวมเวลาที่พระพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขอยู่  49  วัน  โดยมิได้เสวยพระกระยาหารเลย

การตัดสินพระทัยที่จะแสดงธรรมแก่ชาวโลก 

            หลังจากพระองค์ได้เสร็จสิ้นการเสวยวิมุตติสุขแล้ว พระองค์มาพิจารณาหลักการของพระองค์อีกครั้งหนึ่งว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้จะควรเผยแพร่สั่งสอนคนต่อไปหรือไม่  ทรงพิจารณาเห็นว่าธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้มานั้นเป็นคุณอันลึกซึ้ง บุคคลผู้ยินดีในกามยากที่จะบรรลุตามได้ เกิดความท้อพระทัยที่จะตรัสสอนขึ้น แต่อาศัยพระกรุณาของพระองค์ที่มีต่อหมู่สัตว์ จึงทรงพิจารณาอีกว่าจะมีผู้สามารถรู้ทั่วถึงธรรมนั้นบ้างหรือไม่  ก็ทรงทราบด้วยปัญญาว่าบุคคลในโลกนี้มีกิเลสน้อยก็มี  มีกิเลสหนาก็มี  เป็นผู้สามารถจะรู้ตามก็มี  ไม่รู้ตามก็มี  เป็นผู้สอนได้โดยง่ายก็มี  สอนยากก็มี  โดยพระองค์ได้เปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว 3  ชนิด  คือ ชนิดหนึ่งยังจมอยู่ในน้ำ  ชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ  ชนิดหนึ่งขึ้นมาพ้นน้ำแล้ว  และเพิ่มมาอีกชนิดหนึ่งคือชนิดที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปอีก ดอกบัว 4  ชนิดนี้  แต่ละชนิดจะรอวันบานแตกต่างกัน  พวกที่ขึ้นมาพ้นน้ำ รอรับแสงอาทิตย์แล้วจะบานในวันนี้  พวกเสมอน้ำ  จะบานในวันพรุ่งนี้ พวกที่จมอยู่ในน้ำจะบานในวันต่อมา  แต่พวกที่อยู่ลึกใต้น้ำในโคลนตมไม่สามรถจะบานได้เลย  เป็นได้แค่อาหารของปลาและเต่าเท่านั้น  ซึ่งเปรียบได้กับบุคคล  4  ประเภท  คือ

            1.  ผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม  เมื่อได้ฟังธรรมแล้วสามารถรู้ตามได้เลย  เรียกว่า  อุคคติตัญญู  เปรียบกับบัวชนิดบานวันนี้

            2.  ผู้มีสติปัญญาปานกลาง  เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว  ต้องใช้เวลาทบทวนบ้าง  จึงจะรู้ตามได้ เรียกว่า     วิปจิตัญญู  เปรียบกับบัวชนิดที่จะบานในวันพรุ่งนี้

            3.  ผู้มีสติปัญญาพอใช้  เมื่อได้ฟังธรรมแล้วต้องใช้เวลาฝึกฝนนานหน่อย จึงจะรู้ตามได้  เรียกว่า    เนยยะ  เปรียบกับบัวชนิดที่จะบานในวันต่อ ๆ ไป

            4. ผู้มีกิเลสหนาสติปัญญาทึบ ไม่มีความเพียรพยายามที่จะสามารถฟังธรรมให้เข้าใจได้เลย เรียกว่า ปทปรมะ เปรียบกับบัวชนิดอยู่ใต้น้ำหรือในโคลน (เป็นคนอาภัพ)

            บุคคล 3 พวกแรก เป็นพวกที่พระพุทธเจ้าสามารถจะสั่งสอนให้รู้ตามได้ แต่พวกสุดท้าย    พระพุทธเจ้าไม่สามารถสั่งสอนได้เลยต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม เมื่อพิจารณาได้ดังนี้ พระองค์จึงเริ่มตั้งพุทธปณิธานจะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่าจะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ประกาศคำสอนให้แพร่หลาย สำเร็จประโยชน์แก่มหาชน

การแสดงธรรมครั้งแรกและการบวชของพระสาวกองค์แรก 

            เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตกลงพระทัยที่จะทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์แล้ว ก็ได้ใคร่ครวญว่าใครควรจะได้รับการสอนเป็นคนแรกทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้ง 2 คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ่งได้สั่งสอนถ่ายทอดความรู้ให้แก่พระองค์จนได้ ฌาน 8 ก่อนจะได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่ทรงทราบว่าท่านทั้ง 2 นั้นสิ้นชีพแล้ว จึงทรงนึกถึงนักบวชทั้ง 5 หรือ เบญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ที่คอยรับใช้ปฏิบัติ (คืออุปัฎฐาก) เมื่อคราวบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ จึงได้ตัดสินพระทัยที่จะเสด็จไปแสดงธรรมโปรดเบญจวัคคีย์

พระองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดเบญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี เมื่อถึงวันแรม 15  ค่ำ  เดือน 8  ได้แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกชื่อว่า พระธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร     โปรดเบญจ-วัคคีย์ ทำให้โกณฑัญญะ บรรลุธรรมก่อนเพื่อน แล้วได้ทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เอง ด้วยวิธีที่เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา จึงนับว่าได้เป็นสาวกองค์แรกในพระพุทธศาสนา จากนั้น 4นักบวชที่เหลือก็ได้ฟังธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพระพุทธเจ้า ก็ได้บรรลุธรรมตามและได้ขออุปสมบทเป็นภิกษุอีก จากนั้นมาเมื่อมาถึงวันแรม 5 ค่ำ เดือน 9 ภิกษุเบญจวัคคีย์ก็ได้ฟังพระธรรมอีกที่ชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร   ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 รูป สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก 6 องค์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า และพระเบญจวัคคีย์ทั้ง 5

เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....