การผจญมารของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณความดีมากมาย พระองค์ได้สั่งสมบารมีมาหลายภพหลายชาติ เพื่อมาเสวยพระชาติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ชาวโลกทุกหมู่เหล่า
ก่อนที่พรองค์จะมาเสวยชาติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ทุกประเภทมาหลายร้อยชาติ แต่ละชาติพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญบารมีสั่งสมแต่ความดีจนหนุนให้พระองค์ได้มาเสวยเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ พระองค์อุบัติมาในชาตินี้เพื่อมาเสวยชาติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ได้แสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์จนเป็นผู้มีกิเลสเบาบาง ละทุกข์ ดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นสุข
หลังจากพระองค์ได้ทรงออกผนวชแล้วได้ทรงออกผนวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้มากมายหลายวิธี ที่จะหาความหลุดพ้นจากวัฎจักรคือการเวียนว่ายตายเกิดหรือความทุกข์คือความเจ็บ ความแก่และความตาย ทั้งจากครูอาจารย์บ้าง ศึกษาปฏิบัติเองบ้าง พระองค์ได้ปฏิบัติทั้งความเพียรทางกายและความเพียรทางใจหลายวิธี พระองค์ได้พบกับอุปสรรคมากมายหลายประการ ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ และบำเพ็ญบารมีอย่างมากกว่า จะบรรลุธรรมดังต้องการ พระองค์ได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติอยู่ 6 ปี นับแต่ทรงผนวช จึงสามารถบรรลุความพ้นทุกข์คือสิ้นกิเลสอาสวะทั้งปวง รู้ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง จนสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
การวิเคราะห์เหตุการณ์การผจญมาร
การผจญมาร ถือว่าเป็นการต่อสู้กับกิเลสอย่างหนักในวาระสุดท้ายก่อนที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้ ถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนักที่มาขัดขวางการปฏิบัติธรรมเพื่อการบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุการณ์การผจญมารของพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องให้เป็นรูปธรรมที่เรียกว่า ?บุคลาธิษฐาน? มารและเสนามารที่พระองค์ทรงผจญรบด้วยก็ได้แก่กิเลสน้อยใหญ่ที่มีอยู่ในพระองค์นั้นเอง จริง ๆ แล้วมารที่มาปรากฏให้พระองค์ได้ทรงเห็นเป็นตัวตนคงไม่ปรากฏให้เห็นได้อย่างที่แต่งไว้ในคัมภีร์ เป็นแค่การแต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้เป็นการเปรียบเทียบเป็นรูปธรรมเพื่อจะง่ายต่อการศึกษา
เหตุการณ์การผจญมารของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในตอนเย็นของวันที่จะได้ตรัสรู้ หลังจากที่พระองค์ได้ทรงประทับนั่งที่บัลลังก์ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และตั้งจิตอธิษฐานที่จะปฏิบัติธรรมให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงให้สิ้นกิเลสภายในคืนนั้น พวกเทพดาและพรหมทุกชั้นทุกหมู่เหล่าก็มาประชุมกันแวดล้อมเพื่อจะปกป้องและทำสักการบูชาพระพุทธเจ้า ในเวลานั้นพญามารชื่อว่าวสวัตตี ซึ่งได้ติดตามหาโอกาสขัดขวางพระองค์มาตั้งแต่เสด็จออกผนวช เกรงว่าพระองค์จะพ้นจากอำนาจตน จึงระดมพรรคพวกเสนามารประกอบด้วยอาวุธมากมายยกพลมา หมายจะขู่ขับให้พระโพธิสัตว์ตกพระหฤทัยกลัวและลุกหนีไปเสียจากบัลลังก์ที่ประทับ พญามารได้เนรมิตแขนข้างละพัน ถืออาวุธนานาชนิด ขึ้นคอช้างชื่อคีรีเมขละ นำทัพมาโจมตี ขณะนั้นเทพยดาและพรหมที่มาประชุมแวดล้อมอยู่ต่างตกใจกลัวหนีไปคนละทิศคนละทาง เหลือไว้แต่พระมหาบุรุษเพียงผู้เดียว
พระมหาบุรุษไม่มีที่พึ่งอื่นเลย ทรงระลึกบารมี 10 ทัศ ที่ทรงบำเพ็ญมาทุกชาติเป็นหลายแสนกัปป์ และประทับนั่งสงบนิ่งมิได้หวั่นไหว พญามารได้สั่งให้เสนามารเข้ารุกไล่ชัดสาดสรรพอาวุธเข้าใส่ อาวุธเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นดอกไม้ เครื่องสักการบูชาไปทั้งหมดพญามารเห็นดังนั้น ก็เข้าไปขู่ใช้วาจาสำทับให้พระมหาบุรุษลุกไป โดยอ้างว่าบัลลังก์นั้นเป็นของตน ซึ่งได้ยกเสนามารทั้งหลายเป็นพยานยืนยัน พระมหาบุรุษก็ยืนยันว่าบัลลังก์นั้นเป็นของระองค์ ทรงได้อ้างนางธรณีเป็นพยาน นางธรณีก็ปรากฏกาย คลี่มวยผมแล้วบีบน้ำออกจากมวยผมจนกลายเป็นท้องทะเลท่วมทัพพญามารและเสนามารให้พ่ายแพ้สิ้นไป หลังจากพระองค์ทรงชนะมารแล้วเข้าฌาน จนได้บรรลุญาณทั้ง 3 ในเวลายามทั้ง 3 จึงได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในเวลาอรุณขึ้น
ในเหตุการณ์การผจญของพระพุทธเจ้านี้ ถือว่าเป็นพุทธจริยาที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่างสำหรับนักเรียนอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้ความเพียรวิริยะอุตสาหะความอดทน การสั่งสมความดี และการใช้ความรอบคอบมีเหตุผล ที่จะต่อสู้กับพญามารคือ กิเลส ซึ่งได้แก่ ความสุขสบาย ความโลภ ความโกรธ ความหลงและความริษยาต่างๆ เป็นต้น พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญความดี คือ บารมี (ได้แก่ การสั่งสมหรือการเพิ่มความดี) 10 ทัศ มาอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถชนะอุปสรรคที่คอยขัดขวางไปได้ บารมี 10 ทัศ ได้แก่ 1. ทาน การให้ 2. ศีล การสำรวมระวัง 3. เนกขัมมะ การออกบวชเว้นกาม 4. ปัญญา ความรอบรู้ 5. วิริยะ ความเพียร 6. ขันติ ความอดทน 7. สัจจะ การพูดความจริง 8. อธิษฐาน ความมั่นคงแน่วแน่ 9. เมตตา ความปรารถนาดี 10. อุเบกขา ความวางเฉย




