๑. ประวัติพระสารีบุตร
ชาติภูมิ และการครองเรือน
พระสารีบุตรเดิมมีชื่อว่า อุปติสสะ เกิดที่หมู่บ้านนาลกะ เมืองนาลันทา เมืองราชคฤห์ ในสกุลพราหมณ์ที่มั่งคั่ง มารดามีชื่อว่าสารี จึงได้ชื่อว่าสารีบุตร (คือบุตรของนางสารี) ท่านมีพี่น้องชายหญิงรวมกัน ๖ คน เมื่อเจริญวัยท่านได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปศาสตร์ตามตระกูลพราหมณ์จนเชี่ยวชาญ ท่านมีเพื่อสนิทที่รักใคร่กันมาตั้งแต่เด็ก ชื่อโกลิตมาณพ ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งตระกูลทั้งสองนี้เป็นสหายสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ในวัยหนุ่มอุปติสสะและโกลิตะมาณพ ชอบเที่ยวดูมหรสพด้วยกันเสมอ ภายหลังพากันคิดได้ว่า การใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นการไร้สาระไม่มีประโยชน์อะไร ท่านทั้งสองพร้อมด้วยบริวารจึงพากันไปบวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพพาชก เพื่อแสวงหาโมกขธรรม (คือ ความพ้นทุกข์) ท่านทั้งสองเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนจบลัทธิของอาจารย์สัญชัยในไม่ช้า จึงได้รับมอบหมายให้ช่วยสั่งสอนศิษย์อื่นต่อไป แต่ท่านทั้งสองต้องการที่จะหาความรู้เพิ่มอีก จึงได้ตกลงกันว่า ถ้าผู้ใดได้พบธรรมวิเศษก่อนขอให้บอกแก่กันและกัน
การออกบวชและบรรลุพระอรหันต์
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประกาศพระศาสนา ณ กรุงราชคฤห์ วันหนึ่งพระอัสสชิได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน อุปติสสะมาณพผ่านไปพบท่าน จึงเกิดความเลื่อมใสในอิริยาบถอันสงบเสงี่ยมของท่านและได้ติดตามท่านไป เมื่อได้โอกาสอันควรจึงเข้าไปแสดงความเคารพและขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง พระอัสสชิบอกว่าท่านอยู่กับพระศาสดา เพิ่งบวชได้ไม่นาน ไม่อาจชี้แจงหลักธรรมได้ละเอียดมากนัก ท่านจึงได้แสดงโดยย่อว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้” พอท่านได้ฟังหลักธรรมย่อก็สามารถเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี และเกิดความซาบซึ้ง มีความเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น คือ พระโสดาบันได้ อุปติสสะรีบนำความไปเล่าให้โกลิตะมาณพสหายฟัง โกลิตะพอได้พอได้ฟังก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเช่นกัน จากนั้นจึงไปขอลาอาจารย์สัญชัยเพื่อไปบวชกับพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสองพร้อมด้วยบริวารอีก ๒๕๐ คน ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนาราม แล้วได้ทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าได้ทรงบวชให้เองด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อท่านทั้งสองได้อุปสมบทแล้ว ภิกษุทั้งหลายได้เรียกท่านว่า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
หลังจากพระสารีบุตรได้อุปสมบทได้ ๑๕ วัน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังพระเทศนาที่พระศาสดาตรัสแก่ปริพพาชกผู้เป็นหลานฟัง ขณะที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมแก่หลาน พระสารีบุตรได้ตรึกตรองตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัส เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงได้ดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญา จิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ได้บรรลุพระอรหัตตผล ส่วนหลานได้เพียรดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
ตำแหน่งอันสูงสุดและเอตทัคคะ
เมื่อพระสารีบุตรได้ตรัสรู้แล้ว เป็นผู้มีปัญญามาก ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา ได้ช่วยแบ่งเบาภาระกิจดูแลพระสงฆ์ให้กับพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี พระองค์จึงได้มอบตำแหน่งอันสูงสุดแก่ท่านในตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องขวา นอกจากนี้ ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเหนือกว่าภิกษุทั้งหลาย สามารถแสดงธรรมได้เท่าเทียมกับพระพุทธเจ้า จนพระพุทธเจ้าได้ให้เป็นตัวแทนแสดงธรรมแทนพระองค์ ได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะที่เลิศกว่าภิกษุอื่น ว่า เป็นผู้มีปัญญามากกว่าภิกษุทั้งหลาย
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
๑. มีความเคารพครูอาจารย์ ได้แก่ การเคารพระลึกถึงคุณของพระอัสสชิซึ่งเป็นอาจารย์คนแรกที่ได้แสดงธรรมให้แก่ท่านจนได้ดวงตาเห็นธรรมและได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ทุกครั้งก่อนนอนท่านจะหันศรีษะและนมัสการไปทางทิศที่พระอัสสชิอยู่
๒. มีความกตัญญูกตเวที ได้แก่ การที่ท่านได้แสดงธรรมโปรดโยมมารดาก่อนนิพพาน จนได้สำบรรลุธรรม และได้อนุเคราะห์เป็นพระอุปัชฌาย์บวชแก่ราธะพราหมณ์ เพราะระลึกถึงอุปการะคุณที่ราธะพราหมณ์เคยถวายอาหารบิณฑบาตแก่ท่านเพียงทัพพีหนึ่ง
๓. เป็นพระธรรมเสนาบดี ได้แก่ เป็นแม่ทัพฝ่ายธรรม เพราะท่านเป็นผู้สามารถแสดงพระธรรมได้เสมอพระศาสดา ทั้งฉลาดในการสอนด้วย จนพระศาสดาได้ตรัสสรรเสริญท่านว่า พระสารีบุตรอยู่ที่ใดก็เท่ากับพระองค์ประทับอยู่ที่นั้นด้วย
การนิพพาน
ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ พระสารีบุตรได้ทูลลาพระศาสดาไปบ้านเดิมของท่าน พร้อมกับพระน้องชายชื่อจุนทะและพระภิกษุบริวาร เมื่อไปถึงบ้านบ้านท่านเกิดอาพาธอย่างหนัก ขณะที่อาพาธนั้น ท่านได้แสดงธรรมโปรดโยมมารดาจนได้บรรลุโสดาบัน พอเวลาใกล้รุ่งท่านก็ได้นิพพาน พระน้องชายของท่านจึงได้จัดการฌาปนกิจศพของท่าน แล้วเก็บอัฐิไปถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ให้ก่อเจดีย์แล้วบรรจุพระอัฐิธาตุของท่านไว้ที่ซุ้มประตูของวัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ฯ
๒. ประวัติพระโมคคัลลานะ
ชาติกำเนิดและการครองเรือน
พระโมคคัลลานะ มีชื่อเดิมว่าโกลิตะ เกิดในตระกูลพราหมณ์อันมั่งคั่งในเมืองนาลันทา กรุงราชคฤห์ มารดามีชื่อว่าโมคคัลลี จึงชื่อว่าโมคคัลลานะ ตามชื่อมารดา ท่านเป็นสหายเพื่อนรักกับพระสารีบุตรมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเจริญวัยท่านได้ศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถช่วยบิดามารดาประกอบการงานในตระกูล
การบวชและบรรลุพระอรหันต์
วันหนึ่งขณะที่โกลิตะได้ไปเที่ยวดูมหรสพกับอุปติสสะ จึงเกิดความเบื่อหน่ายต่อโลกียสุข และได้ออกไปบวชเป็นปริพพาชกอยู่กับอาจารย์สัญชัย พอได้ฟังธรรมจากอุปติสสะเพื่อนรัก จึงเกิดความเลื่อมใสในพระศาสนาแล้วได้ไปขอบวชกับพระพุทธเจ้าพร้อมกับ อุปติสสะที่วัดเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากได้อุปสมบทจากพระพุทธเจ้าแล้ว จึงได้ชื่อใหม่ว่า พระโมคคัลลานะ
หลังพระโมคคัลลานะได้อุปสมบท ๗ วัน ได้ปลีกตัวไปทำความเพียร ณ หมู่บ้านกัลลวามุตคาม กรุงราชคฤห์ ขณะทำความเพียร ท่านเกิดอาการง่วง พระศาสดาจึงเสด็จไปทรงแนะนำวิธีการบำบัดความง่วง ๘ วิธี มี การตรึกตรองถึงวิชาที่ได้เรียนมา การสาธยายธรรมท่องบทเรียนดัง ๆ การใช้ฝ่ามือลูบตัวไปมา หรือการเดินจงกรมกลับไปกลับมา เป็นต้น ต่อจากนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสโอวาทอื่นให้ฟัง ท่านปฏิบัติตามจนสามารถขจัดความง่วงได้และเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามหลักคำสอน จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นเอง
ตำแหน่งอันสูงสุดและเอตทัคคะ
พระโมคคัลลานะท่านได้เป็นกำลังสำคัญของพระศาสดา สามารถทำกิจที่พระศาสดาทรงมอบมหมายให้สำเร็จเป็นอย่างดีพระบรมศาสดาจึงมอบตำแหน่งให้ท่านในตำแหน่งพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย คู่กับพระสารีบุตร นอกจากนั้นพระบรมศาสดาได้ทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้มีฤทธิ์มากกว่าภิกษุทั้งหลาย เพราะท่านมีความสามารถในการชักจูงตระกูลใหญ่ๆ ที่ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้เลื่อมใสโดยปราศจากความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสามารถฝึกคนที่ดื้อกระด้างด้วยมานะให้ยอมเชื่อฟัง สามารถชี้บาปบุญคุณโทษได้ นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังยกย่องท่านว่าเป็นผู้มีอุปการะภิกษุผู้มาขอบวชศึกษาธรรมวินัยคู่กับพระสารีบุตร คือ พระสารีบุตรเป็นผู้สร้างศรัทธาให้คนเข้าใจธรรมะแล้วขอบวช เหมือนดังมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนพระโมคคัลลานะช่วยสงเคราะห์ภิกษุนั้น ๆ ให้มีคุณธรรมสูงขึ้น เสมือนพี่เลี้ยงนางนมที่เลี้ยงทารกที่เกิดขึ้นแล้ว
คุณธรรมที่ควรยึดเป็นแบบอย่าง
๑. เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ปลูกศรัทธาได้ดี ได้แก่ การที่สามารถแสดงธรรมชักชวนผู้ที่ไม่เลื่อมใสในศาสนาให้มานับถือพระพุทธศาสนาได้โดยที่บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ขุ่น สามารถฝึกคนที่กระด้างด้วยมานะให้ยอมจำนงได้
๒. สอนให้เป็นคนมีเหตุมีผล ได้แก่ การสอนให้คนเชื่อผลแห่งกรรมให้กลัวการทำกรรมชั่ว คือระวังในการกระทำของตนเองในปัจจุบัน ว่าการทำเหตุดีย่อมได้ผลดี การทำเหตุชั่วย่อมได้ผลชั่ว
๓. มีความเพียรอุตสาหวิริยะ ได้แก่ การกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและความสะดวกสบาย โดยเห็นได้จากการพยายามเอาชนะอุปสรรคคือความง่วงได้เป็นผลสำเร็จ จนสำเร็จเป็นอรหันต์ได้
๔. มีน้ำใจอันดี ได้แก่ การช่วยเหลืออุดหนุนอนุเคราะห์เพื่อนภิกษุผู้ขอบวชศึกษาธรรมวินัย แนะนำสั่งสอนชวยสงเคราะห์ให้ได้คุณธรรมสูงยิ่งขึ้น จนถูกเปรียบเทียบเป็นเหมือนกับนางนมผู้เลี้ยงทารก
การนิพพาน
พระโมคคัลลานะ ได้นิพพานหลังพระสารีบุตรเพียง ๑๕ วัน ท่านได้ถูกพวกที่นับถือลัทธิอื่นนอกพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่าเดียรถีย์ ทำร้าย สาเหตุเกิดจากพวกเดียรถีย์เกิดความริษยาต่อพระพุทธเจ้าที่มีประชาชนหันไปนับถือและขอบวชในพระพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้พวกเขาเสื่อมจากลาภสักกาะ และเห็นว่าพระโมคคัลลานะนี้เองเป็นกำลังสำคัญที่สามารถทำให้คนพากันมาเลื่อมใสมากขึ้น เพราะท่านสามาถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้สูง เช่น สามารถนำข่าวจากสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ได้ พวกเดียรถีย์จึงจ้างนักเลงอันธพาลให้มาลอบฆ่าท่าน โจรลอบทำร้ายท่านถึง ๒ ครั้ง ท่านหนีไปได้ทั้ง ๒ ครั้ง แต่ในครั้งที่ ๓ ท่านพิจารณาเห็นว่าเคยทำบาปหนักไว้แต่ชาติก่อน คือประทุษร้ายบิดามารดาผู้ตาบอด กรรมหนักจึงติดตามมาถึงชาตินี้ ท่านคิดได้เช่นนี้จึงไม่หนี โจรได้จับท่านทุบตีจนกระดูกแหลก จึงนำร่างของท่านไปไว้ในพุ่มไม้ ครั้นไปแล้วท่นสำรวมจิตรวมรวบอัตภาพด้วยกำลังแห่งฌานแล้ว ทำปาฏิหาริย์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมลาปรินิพพาน พระศาสดาได้จัดทำฌาปนกิจแล้วเก็บอัฐิธาตุของท่านมาบรรจุพระเจดีย์ที่ซุ้มประตูวัดเวฬุวนาราม ฯ
๓. ประวัตินางขุชชุตตราอุบาสิกา
ชาติกำเนิดและการครองเรือน
นางขุชชุตตรา เป็นเทพธิดาอยู่บนเทวโลก จุติมาถือปฏิสนธิในครรภ์ของแม่นมในบ้านของโฆสกเศรษฐี ในเมืองโกสัมพี นางมีร่างกายไม่ปกติ เป็นผู้มีรูปร่างเตี้ยและหลังค่อม จึงมีชื่อว่า “ขุชชา” แปลว่า “ค่อม” ญาติจึงตั้งชื่อให้นางว่า “นางขุชชุตตรา” มีความหมายว่า นางอุตตราผู้เป็นหญิงค่อม
เมื่อโตขึ้นเป็นหญิงสาว นางได้เป็นหญิงรับใช้ในบ้านของนางสามาวดี ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของโฆสกเศรษฐี เมื่อนางสามาวดีได้รับการอภิเษกสมรสให้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน นางขุชชุตราก็ได้ตามไปรับใช้นางสามามาวดีอยู่ในพระราชนิเวศน์ด้วย นางได้รับหน้าที่เป็นผู้ซื้อดอกไม้จากบ้านคนขายดอกไม้ชื่อสุมนมาลาการ แล้วนำไปถวายแด่พระนางสามาวดีเป็นประจำ พระเจ้าอุเทนเป็นผู้พระราชทานพระราชทรัพย์วันละ ๘ กหาปณะ ให้เป็นค่าดอกไม้แก่พระนางสามาวดีเป็นประจำ พระนางก็ได้มอบให้นางขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้ทั้ง ๘ กหาปณะ
นางขุชชุตตราไม่ค่อยซื่อสัตย์เท่าไหร่นัก รับทรัพย์จากพระนางสามาวดีไป ๘ กหาปณะ แต่ซื้อดอกไม้เพียง ๔ กหาปณะ มาถวาย อีก ๔ กหาปณะ ตนเองได้แอบเบียดบังเก็บไว้
ชีวิตในทางธรรม
วันหนึ่ง นางขุชชุตตราถือเงิน ๘ กหาปณะ ไปที่บ้านของนายสุมนมาลาการเพื่อซื้อดอกไม้ตามปกติที่เคยกระทำมาเป็นประจำ ในวันนั้น นางสุมนมาลาการได้กราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ให้มาฉันภัตตาหารในบ้านของตน ครั้นนางขุชชุตตรามาถึงบ้าน นายสุมนมาลาการก็ได้ชวนนางทำบุญเลี้ยงพระฟังธรรมก่อน แล้วค่อยรับเอาดอกไม้ไป หลังจากพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกฉันเสร็จแล้ว ได้ทรงอนุโมทนา (ให้พร) และแสดงพระธรรมเทศนาให้นายสุมนมาลาการฟัง นางขุชชุตตราก็ได้ฟังพระธรรมเทศนาด้วย ทำให้เกิดศรัทธาในพระศาสนาและสามารถจำพระธรรมทั้งปวงไว้ได้ทั้งหมด พอพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง นางก็ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น
ในวันนั้น หลังจากนางสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว นางได้ซื้อดอกไม้ทั้ง ๘ กหาปณะทั้งหมด ซึ่งแต่ก่อนเคยเบียดบังไป ๔ กหาปณะ พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว นางได้เห็นความจริงในสัจธรรมจึงไม่ยักยอกทรัพย์ได้ ได้นำไปมอบให้แก่พระนางสามาวดี เมื่อนางสามาวดีเห็นดอกไม้มากกว่าเติมเลยสงสัยว่าได้มาอย่างไร นางขุชชุตตราจึงเล่าความจริงให้ฟังทั้งหมดโดยไม่ได้ปิดบังอำพรางสิ่งที่ตนทำไม่มาแล้วในอดีต เพราะนางเป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่กล่าวคำเท็จ
เมื่อนางขุชชุตตราได้เล่าให้ฟังอย่างนั้น นางสามาวดีไม่ได้โกรธหรือว่ากล่าวอะไร มีแต่เกิดความเลื่อมใสใคร่อยากจะฟังธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมา จึงขอให้นางขุชชุตตราแสดงธรรมให้ฟัง นางก็ไม่ได้ขัดข้องประการใด แต่ได้สั่งให้จัดที่สูง ๆ ไว้แสดงธรรม ส่วนพวกพระนาง สามาวดีและบริวารให้นั่งที่ต่ำกว่า นางได้แสดงธรรมจนทำให้พระนางสามาวดีพร้อมด้วยหญิงบริวารบรรลุธรรมชั้นโสดาบัน
ตั้งแต่วันนั้นมา พระนางสามาวดีไม่ได้ให้นางเป็นหญิงรับใช้ต่อไป แต่ให้ตั้งอยู่ในฐานะมารดาและฐานะอาจารย์เพื่อทำหน้าที่แสดงธรรมของพระศาสดาให้สตรีทั้งหลายฟัง นางได้รับหน้าที่นั้น โดยไปฟังธรรมจากพระศาสดาเป็นประจำแล้วนำมาแสดงแก่เหล่าสตรีในวังฟัง จนทำให้นางเป็นผู้ชำชองในพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ ทั้งเป็นผู้สามารถแสดงธรรมได้เป็นอย่างดี
ตำแหน่งเอตทัคคะ
ด้วยความที่นางขุชชุตตราเป็นหญิงที่มีความขยันหาความรู้ไปฟังธรรมจากองค์พระศาสดาอยู่เป็นประจำ จนสามารถเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และมีความสามารถกล่าวธรรมให้ผู้อื่นฟังได้ด้วย พระพุทธเจ้าจึงได้มอบตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศกว่าบรรดาอุบาสิกา ซึ่งเป็นสาวิกาของพระตถาคต ผู้เป็นธรรมกถึกหรือธรรมกถิกา หมายถึง เป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในด้านการแสดงธรรมหรือสั่งสอนผู้อื่น
คุณธรรมที่ควรยึดเป็นแบบอย่าง
๑. เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร ได้แก่ การที่นางขุชชุตตรา เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ในทางธรรมอยู่เป็นประจำ จนสามารถเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก สามารถทรงจำได้อย่างแม่นยำ
๒. เป็นผู้มีความรับผิดชอบดี ได้แก่ การที่นางได้รับแต่งตั้งให้เป็นหญิงรับใช้นางสามาวดี ก็ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ว่าจะแอบนำทรัพย์บางส่วนเป็นไปของส่วนตัว ก็ไม่ได้ถูกว่ากล่าวแต่อย่างใด
๓. เป็นผู้ยอมรับความจริง ได้แก่ การที่นางได้แอบปิดบังเอาทรัพย์ส่วนหนึ่งที่นางสามาวดีให้ไปเป็นของตน เมื่อนายรู้ก็บอกเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ปิดบังอำพรางแต่อย่างใด จึงทำให้นายมีความเชื่อศรัทธาในสิ่งที่กระทำไปไม่ว่ากล่าวเอาโทษแต่อย่างใด
๓. เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ได้แก่ การที่นางได้รับหน้าที่สอนธรรมแก่หญิงทั้งหลายในวังอยู่เป็นประจำ จนทุกคนได้มอบให้อยู่ในฐานะอาจารย์ผู้กล่าวสอนธรรมไว้ตลอด โดยไม่ต้องทำหน้าที่เป็นหญิงรับใช้ต่อไป ฯ