สาระสำคัญวิชาศาสนาและวัฒนธรรม ป.4

      ปิดความเห็น บน สาระสำคัญวิชาศาสนาและวัฒนธรรม ป.4

สรุปสาระสำคัญวิชาศาสนาและวัฒนธรรม  ป.4

สาระที่ ๑  พุทธสาวกและชาดก

 ๑. พุทธสาวก หมายถึง  พระภิกษุสามเณรที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

  • พระอัครสาวก ประกอบด้วยพระเถระชาวเมืองกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นสหายกัน  ๒ รูป คือ พระโมคคัลลานะ เดิมชื่อว่า โกลิตะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์มาก และพระสารีบุตรเดิมชื่อว่า อุปติสสะ เป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้เลิศในทางผู้มีปัญญามาก ทั้งสองท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของ “สัญชัยปริพาชก” มาก่อน วันหนึ่งอุปติสสะได้พบพระอัสสชิหนึ่งในปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 และได้ขอร้องให้ท่านอธิบายคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ฟัง พระอัสสชิจึงกล่าวว่า พระศาสดาได้ตรัสว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านั้นและตรัสความดับแห่งธรรมเหล่านั้นพระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้” ทำให้อุปติสสะบรรลุธรรมเบื้องต้นแล้วจึงพาโกลิตะสหายอำลาอาจารย์สัญชัยและพาสหายอีก 500 คนเป็นเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวัน ทูลขอบวชเมื่อบวชแล้วทั้งสองท่านได้ปฏิบัติธรรมโดยพากเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

–   พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นนักบวชประเภท  ชฎิล  แต่งกายคล้ายฤษี  เกล้าผมเป็นมวยสูงสร้างอาศรมอาศัยใกล้แม่น้ำเนรัญชรา  ตำบลอุรุเวลา  นับถือลัทธิบูชาไฟ  มีน้องชายสองคน คือ นทีกัสสปะและ คยากัสสปะ

            เมื่อพระพุทธเจ้าไปประกาศพระศาสนาพระองค์เสด็จถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  ทรงขอพักอยู่ที่โรงบูชาเพลิงที่มีนาคพ่นไฟผู้ใดกล้ำกรายอาจทำอันตรายแก่ผู้นั้นพระพุทธเจ้าทรมานพระยานาคจนหมดฤทธิ์แล้วทรงจับใส่บาตรต่อนั้นมาทรงแสดงอภินิหารเพื่อถอนทิฏฐิมานะท่านอุรุเวลกัสสปะกับบริวารจนท่านเห็นว่าลัทธิของตนไม่มีสาระไม่มีแก่นสาร  จึงขออุปสมบท 

            ฝ่ายน้องชายสองคนเห็นเครื่องบริขารของพี่ชายลอยน้ำมา  คิดว่าเกิดอันตรายแก่พี่ชายจึงพากันมาที่สำนักของพี่ชายถามทราบความว่าบวชเป็นพระภิกษุประเสริฐกว่าจึงพากันอุปสมบทพร้อมบริวารต่อมาพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุ (ชฎิล) เหล่านั้น  จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

            พระอุรุเวลกัสสปะ  ได้สำเร็จพระอรหันต์เพราะฟังธรรมชื่อ อาทิตตปริยายสูตร  และท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศแห่งภิกษุ   ผู้มีบริวารมาก

 

ชฎิล                  –  นักพรต (บวช) นิกายหนึ่งที่เราเรียกว่าฤๅษีที่บูชาไฟ

อาศรม               –  (อ่านว่า อา-สม)  ที่อยู่อาศัยของฤๅษี

กุฎิ                    – (อ่านว่า กุ-ติ)    ที่อยู่อาศัยของพระ-เณร

แก่นสาร            –  สิ่งที่ตั้งมั่น,  สิ่งที่ถาวร,  สิ่งที่ไม่เหลวไหล,  สิ่งที่เป็นเนื้อแท้

อุปสมบท          การบวช

พรหมจรรย์        การประพฤติโดยละเว้นเมถุน เป็นต้น

 

 

คำศัพท์

 

 

 
   

๒. ชาดก เป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนานำมาจากพระไตรปิฎก ซึ่งกล่าวถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและสอดแทรกหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาไว้ มีทั้งหมด 547 เรื่อง สาเหตุที่ใช้เรียนกันในรูปแบบนิทานนั้นก็เพื่อต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย  ในภาคเรียนนี้นำมาสอนด้วยกัน 2 เรื่องคือกุฏิทูสกชาดก : กล่าวถึง นกขมิ้นสอนลิงพาลว่า เมื่อนกขมิ้นเห็นลิงนั่งกอดเข่าตัวสั่นเปียกฝนจึงร้องออกไปด้วยความสงสารว่า “แนะท่านลิง เราเห็นท่านก็มีหัวมีมือมีเท้าคล้ายคลึงกับมนุษย์อยู่แต่เหตุใดท่านจึงไม่สร้างบ้านอยู่เองทำไมต้องมานั่งเปียกปอนอยู่เช่นนี้” ฝ่ายลิงได้ฟังดังนั้นก็ตอบกลับไปด้วยความขุ่นเคืองว่า “เจ้านกขมิ้น แม้ว่าเราจะมีหัว มีมือ มีเท้าคล้ายกับมนุษย์ก็จริงอยู่ แต่เราไม่ได้มีสมองดีเท่ากับปัญญาของมนุษย์นี่ เราจึงไม่สามารถสร้างบ้านเรือนไว้อยู่อาศัยเองได้”

            นกขมิ้นได้ฟังคำของลิง  จึงบอกว่า  “ดูก่อนสหายลิง หากท่านต้องการจะให้ปัญญาเกิดขึ้นในหัวของท่าน ท่านจงตั้งใจละทิ้งความไม่ดี ความคดโกงที่ท่านเคยทำมาเสียแล้วตั้งใจทำความดีรักษาศีลทำจิตให้มั่นคงเป็นสมาธิ แล้วปัญญาก็จะเกิดในตัวท่าน จะช่วยให้ท่านสร้างบ้านเรือนไว้อาศัยหลบฝนหลบลมหนาวได้”

            ลิงได้ฟังก็เกิดโมโหนึกในใจว่านกขมิ้นหลบอยู่ในรังที่กันฝนกันลมได้จึงปากดี  อวดตนมาสั่งสอน  นึกดังนั้นแล้วก็ตรงเข้าไปจะคว้าตัวนกขมิ้นจากในรัง นกขมิ้นรู้ทันจึงรีบบินไปเสียก่อน ลิงจึงได้แต่ทุบทำลายรังของนกขมิ้นจนพังหมด  แล้วก็วิ่งไปที่อื่น

นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ผู้ต้องการที่จะเป็นคนมีปัญญาต้องรักษาศีล ทำจิตให้มั่นคงจนเป็นสมาธิแล้วปัญญาก็จะเกิดแก่ตนเอง และมีคติธรรมว่า คนพาลเมื่อบัณฑิตแนะนำดี ย่อมโกรธแค้นและอาฆาต

–     มหาอุกกุสชาดก เป็นนิทานชาดกที่สอนให้รู้จักการคบเพื่อนหรือการคบมิตรสหายที่ดีดังเช่นอุบาสกในเรื่องนี้ก่อนแต่งงาน ภรรยากล่าวว่า ถ้าท่านอยากแต่งงานกับฉัน สิ่งที่ท่านจะต้องมีคือมิตรสหายที่จะสามารถช่วยกิจการงานอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้

มิตรสหายในเรื่องนี้ หมายถึงเพื่อนที่ดี สามารถที่จะช่วยเหลือในเวลาที่เราจำเป็นและสามารถแนะนำสิ่งที่ดีๆ แก่เราได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า การคบคนเช่นไร ย่อมเป็นคนเช่นนั้น ถ้าคบเพื่อนที่ไม่ดี ก็จะทำให้เราไม่ดีไปด้วยดังเช่นที่ปรากฏในนิทานเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์

สาระที่ ๒  หน้าที่ของชาวพุทธ สิ่งที่ชาวพุทธควรประพฤติต่อพระพุทธศาสนาคือ ช่วยกันทำนุบำรุงและปกป้องพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ และจำเป็นที่จะต้องรู้และเข้าใจในเรื่องต่อไปนี้คือ

< >อานิสงส์ของการสวดมนต์ การสวดมนต์เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งที่นำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาท่องบ่นเพื่อสรรเสริญคุณของพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เพื่อให้เกิดความจำ มีกำลังใจ ตลอดจนการทำจิตใจให้เป็นสมาธิได้ด้วย  การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้เกิดความสุขทางใจมีสมาธิ การสวดมนต์นั้นมีอานิสงส์หรือประโยชน์อยู่หลายประการด้วยกันแต่ในที่นี้นำมากล่าวเพื่อเป็นตัวอย่างเพียง   5   ข้อ คือ1.    ตัดความกังวล    2.          ตัดความเห็นแก่ตัว          3.          จิตเป็นสมาธิมั่นคง          4. ได้ปัญญาบารมี

5.    ขจัดความเกียจคร้าน  

< >ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวัด วัด  คือที่อยู่ของสงฆ์  อันหมายถึงพระภิกษุ  สามเณร  และเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา  เป็นที่รวมทำบุญของศาสนิกชน  เป็นที่ประกอบพิธีของชาวพุทธ  วัดจึงเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาประการหนึ่งที่ชาวพุทธต้องให้ความเอาใจใส่  สนใจดูแลรักษาร่วมกัน การทำความสะอาดบริเวณลานวัด การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาตามวาระโอกาสต่าง ๆ การร่วมบริจาคเพื่อบำรุง  ซ่อมแซมวัด  ศาลา ตามกำลังของตนไม่นำของของวัดไปเป็นของตน     ช่วยปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ภายในวัด 

< >การเรียนธรรมศึกษา ในที่นี้จะอธิบายคำว่า “ ธรรม” ก่อนว่า หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าการปฏิบัติตนในการเข้าค่ายพุทธบุตร  หมายถึงกิจกรรมที่เป็นส่วนประกอบในการเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้ ได้พัฒนาตนเองและได้รับความสนุกสนาน ซึ่งจะจบลงด้วยคุณธรรมที่ให้ข้อคิด เช่น ความเสียสละ ความสามัคคี ความมีระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูและเพิ่มลักษณะการเป็นผู้นำที่ดีและการเป็นผู้ตามที่ดี เป็นต้นส่วนประโยชน์ของการเข้าค่ายพุทธบุตร มีหลายประการแต่พอสรุปได้ดังนี้

1.   ทำให้นักเรียนได้เข้ารับการอบรม ฝึกฝน กาย วาจาและใจ ตามหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

2.   มีความรู้พื้นฐานในทางพระพุทธศาสนาและน้อมนำรับมาปฏิบัติ เพื่อการพัฒนาตนเองให้เป็นลูกที่ดี ศิษย์ที่ดี เพื่อที่ดีและพลเมืองที่ดีในที่สุด

3.   เกิดความรัก ความศรัทธา หวงแหนและปกป้องในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์

4. ทุกคนตระหนักในความเป็นไทย โดยเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทย ไม่นิยมอารยธรรมต่างชาติ

< >การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คือ การประกาศตนเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาคือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก ผู้ที่แสดงตนเป็นพุทธมามกะจะต้องมีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป สำหรับผู้เข้าร่วมพิธีจะต้องกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย และกล่าวคำแสดงตนเป็นพุทธมามกะต่อหน้าพระพุทธรูปและพระสงฆ์อย่างน้อย 4 รูป ซึ่งจะกระทำในอุโบสถ โดยจะเป็นการกระทำเฉพาะตนหรือทำร่วมกับผู้อื่นก็ได้จุดประสงค์ของการแสดงตนเป็นพุทธมามกะคือ

     1.          เพื่อให้เด็กและเยาวชนสืบความเป็นชาวพุทธตามวงศ์ตระกูลต่อไป

2.          เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รำลึกอยู่เสมอว่าตนเป็นพุทธศาสนิกชน

3.          เพื่อปลูกฝังนิสัยเด็กและเยาวชนให้มั่นคงในพระพุทธศาสนา

–     หน้าที่ของพุทธมามกะ     ในชีวิตประจำวัน พุทธมามกะมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตน ดังนี้

1.          ศึกษาหลักธรรมให้เป็นสัมมาทิฏฐิ

2.          ฟังธรรมหรือสนทนาธรรมตามกาล

3.          ทำบุญตักบาตร

4.          ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน

5.          ปฏิบัติตนตามศีล 5 เป็นอย่างน้อย

6.          ปฏิบัติกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

ดาวน์โหลดสื่อการสอน

เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....