มีหลวงตาอยู่ท่านหนึ่งชอบเล่นหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าได้เล่น หมากรุกแล้วไม่ทำอะไรเลยก็ได้ และหลงไหลมัวเมาจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ขาหมากรุกของหลวงตามีทั้งพระในวัดและญาติโยมในหมู่บ้าน แต่คู่ขาที่ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ก็มีแต่ท่านรองสมภารกับผู้ใหญ่บ้าน ถ้าทั้ง ๓ ท่านได้ร่วมวงกันวันไหน รับรองวันนั้นจะได้ยินเสียงโขกหมากรุกกันสนั่นหวั่นไหวจนสว่างก็มี
เช้าวันหนึ่งพอกระดานสุดท้ายเลิก ก็ได้เวลาบิณฑบาตพอดี หลวงตาของเรามักจะลงเรือคู่ชีพไปบิณฑบาตทันทีโดยไม่ต้องนอนพักผ่อน หลังจากล่องเรือรับบิณฑบาตจากญาติโยมที่ใส่ประจำแล้ว ก็มาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน
เผอิญเวลานั้นผู้ใหญ่บ้านกำลังเล่นหมากรุกกับเพื่อนๆ อยู่ และเป็นหมากรุกตาสุดท้ายพอดี ก็เลยนิมนต์หลวงตาขึ้นมาโขกกันสักกระดาน ฝ่ายหลวงตาเมื่อถูกคู่แข่งท้าทาย ก็รีบเอาบ่วงที่ปลายเชือกผูกเรือโยนคล้องหัวหลักผูกเรือ แล้วก็ก้าวขึ้นสู่ฝั่งอย่างกระฉับกระเฉง หนึ่งนาทีต่อมาเสือกับสิงห์ก็นั่งเผชิญหน้ากัน มีกองเชียร์ของทั้ง ๒ ฝ่ายมุงดูอยู่โดยรอบ ส่งเสียงเฮฮาทุกครั้งที่ฝ่ายของตนได้เปรียบ
ขณะที่การชิงไหวชิงพริบกำลังดำเนินไปอย่างถึงพริกถึงขิง น้ำในคลองก็ค่อยๆ สูงขึ้น เรือของหลวงตาก็ลอยสูงขึ้นตามระดับน้ำ เมื่อน้ำสูงขึ้นได้ระดับ เชือกผูกเรือก็หลุดจากหลัก เรือของหลวงตาหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ พอดีมีเด็กคนหนึ่งไปเห็นเข้า จึงวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกหลวงตา
“หลวงตาครับๆ เรือของหลวงตาลอยไปแล้ว”
“มันจะลอยไปได้ยังไงวะ ม้าคุมอยู่ทั้งตัว” หลวงตาตอบอย่างเคร่งขรึม
ตาจ้องอยู่ที่กระดานเช่นเดิม กว่าหลวงตาจะรู้ว่าเรือลอยไป ก็ทำให้หลวงตาเกือบอดฉันข้าวเช้าในวันนั้น เพราะหมากรุกเป็นเหตุแท้ๆ
เลือกอย่างไร เป็นอย่างนั้น
ปิดความเห็น บน เลือกอย่างไร เป็นอย่างนั้น