|
๑. |
๑.๑ |
เทสนา ๒ มีอะไรบ้าง ?
|
|
|
๑.๒ |
เทสนา ๒ อย่างนั้นต่างกันอย่างไร จงอธิบาย ? |
|
๑. |
๑.๑ |
มี ปุคคลาธิฏฐานา มีบุคคลเป็นที่ตั้ง ๑ ธัมมาธิฏฐานา มีธรรมเป็น |
|
|
๑.๒ |
ต่างกันอย่างนี้ การสอนที่ยกบุคคลมาเป็นตัวอย่าง เช่น ในมหาชนกชาดก สอนเรื่องความเพียร โดยกล่าวถึงพระมหาชนกโพธิสัตว์ว่า ทรงมีความเพียรอย่างยิ่ง พยายามว่ายน้ำในท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นฝั่งอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความุ่งมั่นที่จะถึงฝั่งให้ได้ เป็น ปุคคลาธิฏฐานา ฯ ส่วนการยกธรรมแต่ละข้อมาอธิบายความหมายอย่างเดียว เช่น สติ แปลว่า ความระลึกได้ หมายความว่า ก่อนจะทำ ก่อนจะพูดอะไร ต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงทำ จึงพูดออกไป เป็นต้น เป็น ธัมมาธิฏฐานา ฯ |
|
๒. |
๒.๑ |
ญาณ ๓ ที่เป็นไปในอริยสัจ ๔ มีอะไรบ้าง ?
|
|
|
๒.๒ |
ญาณ ๓ ที่เป็นไปในทุกขนิโรธ มีอธิบายอย่างไร ? |
|
๒. |
๒.๑ |
มี ๑) สัจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้อริยสัจ ๒) กิจจญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันควรทำ ๓) กตญาณ ปรีชาหยั่งรู้กิจอันทำแล้ว ฯ |
|
|
๒.๒ |
มีอธิบายอย่างนี้ ๑) ปรีชาหยั่งรู้ว่า นี้ทุกขนิโรธ จัดเป็นสัจจญาณ
๒) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง
๓) ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกขนิโรธ เป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง |
|
๓. |
๓.๑ |
คำว่า “ โสดาบัน ” แปลว่าอะไร ? |
|
|
๓.๒ |
พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันนี้ ท่านละกิเลสอะไรได้ขาดบ้าง ? |
|
๓. |
๓.๑ |
โสดาบัน แปลว่า ผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องตรัสรู้ในภายภาคหน้า ฯ |
|
|
๓.๒ |
ท่านละสังโยชน์ได้ขาด ๓ อย่าง คือ ๑) สักกายทิฏฐิ ๒) วิจิกิจฉา ๓) สีลัพพตปรามาส ฯ |
|
๔. |
๔.๑ |
ในอปัสเสนธรรม ข้อว่า “ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง ” คำว่า |
|
|
๔.๒ |
ผู้พิจารณาตามข้อ ๔.๑ นั้น ได้ประโยชน์อย่างไร ? |
|
๔. |
๔.๑ |
ได้แก่ ปัจจัย ๔ บุคคล และธรรม เป็นต้น ที่ทำให้เกิดความสบาย ฯ |
|
|
๔.๒ |
ได้ประโยชน์อย่างนี้ คือ ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น ทำกิเลสและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เสื่อมไป ฯ |
|
๕. |
๕.๑ |
คำว่า ทักขิณา ในทักขิณาวิสุทธินั้น หมายถึงอะไร ? |
|
|
๕.๒ |
ทักขิณาจะไม่บริสุทธิ์ และบริสุทธิ์ กำหนดรู้ได้อย่างไร ? |
|
๕. |
๕.๑ |
หมายถึง ของทำบุญ ฯ |
|
|
๕.๒ |
กำหนดรู้ได้อย่างนี้
ทั้งทายก ทั้งปฏิคาหกเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ทักขิณานั้น ชื่อว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว ทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์ ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ฯ |
|
๖. |
๖.๑ |
ปัญจขันธ์ ได้ชื่อว่า มาร เพราะเหตุไร ? |
|
|
๖.๒ |
กิเลสมาร และมัจจุมาร จัดเข้าในอริยสัจข้อใดได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? |
|
๖. |
๖.๑ |
เพราะบางทีทำความลำบากให้ อันเป็นเหตุเบื่อหน่าย จนถึงฆ่าตัวตายเสียเองก็มี ฯ |
|
|
๖.๒ |
ได้ ฯ กิเลสมาร จัดเข้าในทุกขสมุทัยสัจ เพราะกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มัจจุมาร จัดเข้าในทุกขสัจ เพราะเป็นตัวทุกข์ ฯ |
|
๗. |
บุคคลผู้มีปกติต่อไปนี้ จัดเข้าในจริตอะไร ? จะพึงแก้ด้วยธรรมข้อใด ? |
|
|
|
๗.๑ |
ผู้มีปกติรักสวยรักงาม |
|
|
๗.๒ |
ผู้มีปกตินึกพล่าน |
|
๗. |
๗.๑ |
จัดเข้าในราคจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเจริญกายคตาสติ หรืออสุภกัมมัฏฐาน ฯ
|
|
|
๗.๒ |
จัดเข้าในวิตักกจริต ฯ จะพึงแก้ด้วยเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ ฯ |
|
๘. |
๘.๑ |
พระสงฆ์ ในบทสังฆคุณ ๙ ท่านหมายถึงพระสงฆ์เช่นไร ?
|
|
|
๘.๒ |
คำว่า “อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง” คือปฏิบัติเช่นไร ? |
|
๘. |
๘.๑ |
หมายถึง พระสาวกผู้ได้บรรลุธรรมวิเศษ ฯ |
|
|
๘.๒ |
คือไม่ปฏิบัติลวงโลก ไม่มีมายาสาไถย ประพฤติตรง ตรงต่อพระศาสดาและเพื่อนสาวกด้วยกัน ไม่อำพรางความในใจ ไม่มีแง่มีงอน ฯ |
|
๙. |
จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ?
|
|
|
|
๙.๑ |
อโหสิกรรม |
|
|
๙.๒ |
กตัตตากรรม |
|
๙. |
๙.๑ |
คือกรรมให้ผลสำเร็จแล้ว เป็นกรรมล่วงคราวแล้วเลิกให้ผล เปรียบเหมือนพืชสิ้นยางแล้ว เพาะไม่ขึ้น ฯ |
|
|
๙.๒ |
คือ กรรมสักว่าทำ ได้แก่กรรมอันทำด้วยไม่จงใจ ฯ |
|
๑๐. |
๑๐.๑ |
ปังสุกูลิกังคะ องค์แห่งผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คืออย่างไร ?
|
|
|
๑๐.๒ |
ธุดงค์ข้อใด ที่ภิกษุสมาทานสำเร็จด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ?
|
|
๑๐. |
๑๐.๑ |
คือไม่รับจีวรจากทายก เที่ยวแสวงหาและใช้เฉพาะแต่ผ้าบังสุกุลมาเย็บย้อมทำจีวรใช้เอง ฯ |
|
|
๑๐.๒ |
คือ เนสัชชิกังคะ องค์แห่งภิกษุผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ถือเฉพาะอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน และนั่งเท่านั้น ฯ |
ข้อสอบธรรม นักธรรมโท ปี 2546
ปิดความเห็น บน ข้อสอบธรรม นักธรรมโท ปี 2546




