ก่อเกิดนิกาย

      ปิดความเห็น บน ก่อเกิดนิกาย

ก่อเกิดนิกาย

“ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็ จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้”(มหาปรินิพพานสูตร ๑๐/๑๔๑)    พระพุทธดำรัสนี้   ได้เกิดมีปัญหาขึ้นในคราวทำปฐมสังคายนา    สงฆ์แต่ล่ะฝ่ายให้ความเห็นไม่ตรงกัน   บางพวกว่า   ยกเว้นปาราชิก    นอกนั้นเล็กน้อยหมด     บางพวกว่า  ยกเว้นปาราชิกและสังฆาทิเสส   นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย    ดังนี้เป็นต้น   ในเมื่อไม่อาจตกลงกันได้เช่นนี้   ในที่สุด  พระมหากัสสปะผู้เป็นประธานสงฆ์ในครั้งนั้น   ก็ได้ขอความคิดเห็นจากพระภิกษุที่ประชุมกันทั้งหมดว่า    “ถ้าสงฆ์พร้อมแล้วก็ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้   ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้  พึงสมาทานประพฤติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว  (วิ.จูฬ.๗/๔๔๒/๓๘๓) มีคำถามว่า ในคราวทำปฐมสังคายนา  ล้วนมีแต่พระอรหันต์ขีณาสพผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณและอภิญญา  ไฉนจึงไม่ทราบว่า  อย่างไรเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ข้อนี้ พระมหา ดร. สุวิน สัจจวิชโช  ได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ในเอกสารประกอบการสอน  วิชา  พระพุทธศาสนามหายาน  Mahayana Buddhism ๓๒๑๒๒๑๖  ว่าคงเป็นเพราะพระอริยสงฆ์ที่ทำสังคายนาคำนึงถึงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าและเข้าใจธรรมชาติของปุถุชน  พระอริยสงฆ์อรหันตสาวกจึงดำรงไว้ซึ่งสิกขาบททุกข้อเพื่อป้องกันการกล่าวอ้างในเรื่องนี้  อีกประการหนึ่งสิกขาบทเล็กน้อยในแง่ของความผิดที่เป็นคุณธรรมแต่กลับเป็นภาพที่น่าตำหนิมีอีกมาก  พระอริยสงฆ์อรหันตสาวกจึงดำรงไว้ไม่ตัดสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติแล้วและไม่เพิ่มสิกขาบทที่ยังมิได้บัญญัติไว้   ถึงกระนั้นก็ตามข้ออนุโลมในพุทธบัญญัติที่เกี่ยวกับสถานที่และเหตุการณ์บางประการก็เป็นสิ่งที่พึงสังเกตว่ามีความสมดุลกับธรรมชาติความเป็นอยู่  เช่น  บ้านเมืองเดือดร้อน  อยู่ในยุคสงคราม  ดินแดนทุรกันดาร  มีโรคร้ายระบาด เป็นต้นทรงผ่อนผันไปตามความเป็นจริง  พอสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง  พระพุทธองค์ทรงพุทธบัญญัติก็ยังคงเดิม จุดมุ่งหมายไม่ใช่ถือพุทธบัญญัติเป็นบัญญัติศักดิ์สิทธิ์  เป็นคัมภีร์พระเจ้าที่ล่วงละเมิดไม่ได้  แต่จุดมุ่งหมายอยู่ที่เอื้อเฝื้อต่อการปฏิบัติธรรม  บำเพียร  ถ้าไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตเพื่อธรรมไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ผ่อนผันอนุโลมไม่ได้  ข้าพเจ้าผู้เขียนมีความเห็นเพิ่มเติมว่า  ในคราวทำปฐมสังคายนาในที่ประชุมถึงจะไม่มีความเห็นร่วมกันในสิกขาบทว่าไหนคือสิกขาบทเล็กน้อยก็ตาม  แต่เชื่อได้ว่าในความเห็นเรื่องธรรมคืออริยสัจจ์ ๔ หรือมรรคมีองค์แปด  ในมรรคในผล ท่านเหล่านั้นย่อมมีความเห็นร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะคำสอนในพระศาสนาถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสกี่พระองค์ๆ ก็ตามย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเรื่องมรรคผล  อริยสัจจ์ ๔ หรือมรรคมีองค์ ๘  ส่วนพระวินัยพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์บัญญัติมากน้อยไม่เท่ากัน  ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของพระสาวก บางพระองค์ไม่บัญญัติด้วยซ้ำ  ถึงแม้ว่าการทำปฐมสังคายนาในคราวนั้น  ในที่สุดพระมหาเถระทั้งหลายในที่ประชุมก็มีความเห็นในที่ประชุมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ตาม         แต่ถึงกระนั้น  ได้มีภิกษุบางพวกผู้ไม่ได้ร่วมทำสังคายนาไม่อาจยอมรับมติทั้งหมดได้   ดังจะเห็นได้จากเรื่องของพระปุราณะที่กล่าวไว้ในจุลวรรคแห่งพระวินัยปิฎกว่า    สมัยนั้น  พระปุราณะได้พาภิกษุบริวาร  ๕๐๐  รูป  เดินทางจากทักขิณาคิรีชนบท   เมื่อมาถึงพระเวฬุวัน  เมืองราชคฤห์     พวกภิกษุที่เข้าประชุมทำสังคายนา   ได้แจ้งให้ท่านปุราณะทราบว่า   พวกตนได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยเสร็จแล้ว  และได้ขอให้พระปุราณะได้รับรู้หรือรับรองการกระทำสังคายนาครั้งนี้ด้วย    พระปุราณะได้กล่าวเป็นเชิงคัดค้าน    หรือในทำนองไม่เห็นด้วยว่า   “พระธรรมวินัยที่ท่านทั้งหลายได้กระทำไปก็เป็นการดีแล้ว   ส่วนข้าพเจ้าเคยได้ฟังได้รู้จากสำนักของพระบรมศาสดาอย่างไร    ก็จะรักษาไว้อย่างนั้น”  (วิ.จูฬ.๗/๔๔๔/๓๘๖)  ซึ่งก็เป็นอันหมายความว่า   ที่พวกได้ท่านทำไปก็เป็นการดีสำหรับพวกท่าน      ส่วนข้าพเจ้าเองจะถือตามที่ได้ฟังได้รู้จากพระบรมศาสดาเท่านั้น  และนอกจากนั้นพระปุราณะยังได้ขอร้องให้พระมหากัสสปเถระทำสังคายนาอีกครั้ง (พระพุทธศาสนามหายาน  โดย อภิชัย  โพธิ์ประสิทธิ์ศาสต์)   เพราะที่ทำกันมาแล้วนั้น   ตนเองไม่เห็นด้วย   พระมหากัสสปะก็ได้เรียกประชุมสงฆ์ทำสังคายนาใหม่  ซึ่งก็ได้ทำเหมือนอย่างเดิม    เมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายได้ทำสังคายนาเสร็จแล้ว   ท่านปุราณะได้กล่าวว่า  ที่ทำมานั้นตนเห็นด้วยทุกอย่าง  แต่ว่ามีสิกขาบทอยู่ ๘  ข้อที่ตนไม่เห็นด้วย   คือ

๑.   อันโตวุตถะ              เก็บอาหารไว้ในที่อยู่ได้

๒.   อันโตปักกะ             หุงต้มอาหารภายในที่อยู่ได้

๓.   สามปักกะ                หุงต้มเอง (รับประเคนแล้วจึงลงมือเอง) ได้

๔.   อุคคหิตะ                 จับอาหารที่ยังไม่ได้รับประเคนได้

๕.   ตโต  นีหฏะ             นำอาหารเหลือจากที่ฉันในที่นิมนต์มาเก็บในที่อยู่ได้

๖.   ปุเรภัตตะ                 ฉันของที่รับประเคนไว้นอกกาลภัต  (เวลาที่ฉันอาหารได้)   

๗.   วนัฏฐะ                   ของในป่าซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ      เช่น ผลไม้

๘.   โปกขรัฏฐะ              ของที่อยู่ในสระ  เช่น ดอกบัว  เหง้าบัว  (ศาสนาต่างๆ  พระญาณวโรดม)

พระปุราณะมีความเห็นว่า    พระศาสดาทรงอนุญาติให้พระสงฆ์สาวกประพฤติปฏิบัติได้    แต่ท่านมหากัสสปะกล่าวแย้งว่า   พระบรมศาสดาทรงอนุญาติไว้จริง   แต่ทรงอนุญาติให้ปฏิบัติได้ในเวลาข้าวแพงเท่านั้น   แต่เมื่อพ้นกาลสมัยข้าวแพงแล้ว  พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติขึ้นใหม่   ก็การที่พระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาติแก่ภิกษุในเวลาข้าวแพงนั้น   ถือว่าเป็นพระอนุญาติเป็นกรณีพิเศษ   ที่ทรงอนุญาติในเวลาคับขันเพื่อมิให้เป็นการตึงเครียดจนเกินไป  จะเป็นเหตุให้ภิกษุสงฆ์เดือดร้อนมาก    ถึงจะได้ฟังเถราธิบายจากพระมหากัสสปะก็ตาม   ท่านปุราณะก็ยังไม่พอใจอยู่ดี    อีกทั้งยังได้กล่าวกับพระมหากัสสปะว่า  ตนจะทำตามความชอบใจของตน  หลังจากนั้นได้พาบริวารของตนไปทำสังคายนาใหม่  แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่นอนว่าไปทำที่ไหน  เมื่อไร  และทำกันอย่างไรบ้าง

ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่า   เค้าแห่งความแตกแยกในด้านความคิดระหว่างหมู่สงฆ์ได้มีอยู่ก่อนแล้ว  แม้แต่ในสมัยพุทธกาลเอง  อย่างเรื่องภิกษุเมืองโกสัมพี  ก็เป็นตัวอย่างแห่งความไม่ตรงกันในด้านความคิดเห็น  ในด้านธรรมวินัย  หลังจากพุทธปรินิพพานแล้วก็ยิ่งปรากฏชัด   ในหมู่คณาจารย์ต่างใหญ่ๆ หรือพระที่มีภิกษุเป็นบริวารเป็นจำนวนมากๆ  อย่างเช่นพระปุราณะ   ถึงว่าท่านเองจะยอมรับในหลักการใหญ่ๆของสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วก็จริง  แต่ก็ยังขัดแย้งในสิกขาบทข้อปลีกย่อย  อย่างเช่น  สิกขาบท  ๘  ข้อ  ที่ท่านยกขึ้นมาคัดค้านพระมหากัสสปเถระ   นอกจากท่านปุราณะที่มีความคิดเห็นแตกจากการทำสังคายนาของพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว  คงเป็นไปได้แน่ว่า  พระอาจารย์เหล่าอื่นๆ      ก็คงจะมีความคิดเห็นที่แตกแยกเหมือนกันและประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของตนๆ   แต่ก็คงจะขัดแย้งกันในสิกขาบทเล็กๆน้อยเท่านั้น  เพราะว่าพระศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาเพิ่งจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระภิกษุส่วนมากก็ได้รับอุปสมบทในสำนักพระพุทธองค์   ได้เข้าเฝ้า   ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์   หรือได้ศึกษาพระธรรมวินัยในพระอุปปัชฌาย์อาจารย์ที่เป็นมั่นคงเป็นพระอรหันต์

เป็นที่น่าสังเกตว่า   การแตกแยกทางด้านความคิด  มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน  จนเป็นเหตุให้ทำสังคายนาซ้ำซ้อนกันขึ้น   เกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่มีการทำสังคายนา     เมื่อคราวสังคายนาครั้งที่สองพระเถระในสมัยนั้น โดยมีพระยสกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักนำ  ทำที่วาลุการาม ณ เวสาลี หรือไพสาลี  ปรารภความประพฤติเสียหายของภิกษุชาวเมืองวัชชี   ถึงแม้ว่าพระอรหันตขีณาสพทั้ง  ๗๐๐    ที่ร่วมประชุมจะชำระพระธรรมวินัยแล้วก็ตาม   แต่ก็ยังมีภิกษุชาวเมืองวัชชีบางพวกไม่เห็นด้วย   อาจจะเป็นเพราะว่าตนเคยประพฤติมาอย่างนี้ๆ        หรืออาจจะเห็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของตนเป็นแบบอย่าง  ก็เลยถอยหลังไม่เป็น   ประพฤติไปตามความเห็นของตนเองหรือพระอุปัชฌาย์อาจารย์   จึงเป็นเหตุให้ภิกษุสงฆ์บางพวกทำสังคายนากันเอง   นอกจากที่พระเถระมีพระยสกากัณฑกบุตรเป็นต้นทำแล้ว    และที่ทำกันเองก็มีมากกว่าที่พระเถระทำกันในเมืองเวสาลีเสียอีก    สมัยนั้นจึงเกิดเป็นนิกายต่างๆ ใหญ่ๆก็ ๒ นิกาย   คือ เถรวาท หรือสถวีระ   และมหาสังฆิกะ    และทั้งสองนิกายนี้ก็ยังแบ่งแยกย่อยไปอีก รวมเป็น ๑๘   นิกาย ความจริงความว่านิกายๆ      ใน ๑๘  นิกายนี้  บางนิกายหรือบางพวกอาจจะไม่ได้แตกแยกกันชนิดที่มองหน้ากันไม่ได้  หรือคบหากันไม่ได้      อาจจะเป็นกลุ่มหรือสำนักที่แบ่งแยกกันตามพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของตนๆ  อย่างทุกวันนี้  ในประเทศไทยก็มีสายของหลวงชา  สุภัทโท  อาจจะเรียกว่าสายหนองป่าพง   หรือสายอื่นๆ   เรียกตามท้องที่ ตามถิ่นที่อยู่ก็มีเช่น  พระอีสาน   พระใต้ดังนี้  หรืออีกอย่างอาจะเรียกตามที่ตนเองหรือสำนักหรือว่ากลุ่มนั้นๆ ถนัดก็ได้  อย่างพระนักศึกษา   พระเมือง    พระป่า  พระปริยัติ  พระกรรมฐาน  พระปาฏิโมกข์ ดังนี้เป็นต้น   คำว่านิกายในสมัยนั้น  ก็คงเหมือนกัน  คงแบ่งหน้าที่กัน อย่างบางพวกถนัดพระสูตร  ก็ท่องสาธยายทรงจำพระสูตรไป  บางพวกถนัดพระวินัยก็ท่องจำพระวินัยไป   อย่างไรก็ตาม  ความแตกแยกทางด้านความคิด  จนเป็นเหตุที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างทำสังคายนาก็มีอยู่   เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้   ทุกวันนี้พระพุทธศาสนามีนิกายใหญ่ๆ ๒ นิกาย  คือ  เถรวาท  หรือหินยาน ก็คือนิกายดั้งเดิมที่ประพฤติปฏิบัติตามมติของพระเถระทั้งหลายคราวทำปฐมสังคายนา  และก็อาจาริยวาทหรือมหายาน  คำว่ามหายาน  เพิ่งเกิดขึ้นมาในสมัยหลัง  อาจจะสืบเนื่องมาจากมหาสังฆิกะนั่นเอง

ความคิดเห็น  และความประพฤติที่แตกต่างกันนี่เองเป็นบ่อเกิดแห่งความแตกแยก  ทำให้เกิดนิกายน้อยใหญ่    เมื่อฝ่ายภิกษุแตกแยกกันก็ทำให้รุกรานไปถึงชาวบ้าน   ชาวบ้านบางกลุ่มบางพวกก็แตกแยกนับถือไปตามอาจารย์ของตน   หรือที่ตนคุ้นเคย  ขอใครๆในภาคหน้าอย่าได้กล่าวว่า  สมัยหนึ่งพระภิกษุสงฆ์ในเมืองไทย    ซึ่งเป็นดินแห่งพระพุทธศาสนาที่รุ่งเรื่องที่สุด   ได้แตกแยกกันเป็นหมู่เหล่า  เป็นนิกาย   เป็นพวกต่างๆ   หรือแต่ล่ะสำนักมีความถนัดที่แตกต่างกัน   บางสำนักถนัดในเรื่องบอกใบ้ให้หวย  บางสำนักถนัดในเรื่องดูหมอดูดวง  บางสำนักถนัดในเรื่องปลุกเสกเลขยันต์  บางสำนักถนัดในเรื่องรถเบนต์  บางสำนักถนัดในเรื่องสนัขพันธ์ต่างๆ   หรือสัตว์แข้งขาพิการ  ขอเรื่องอย่างนี้อย่าได้เกิดขึ้นในประวัติคณะสงฆ์ไทยในภาคหน้าเลย

ดาวน์โหลดสื่อการสอน

เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....