ศาสนาพุทธ (Buddhism)
พุทธ หมายถึง ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
องค์ประกอบของศาสนาพุทธ คือ พระรัตนตรัย หมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ประวัติความเป็นมาของศาสนา และพุทธประวัติ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. 2526 : 6-44) ได้ทรงรจนาพุทธประวัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ว่า ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังเป็นฆราวาสนั้นทรงพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" อยู่ในตระกูลโคตมะเชื้อสายศากยวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ (ปัจจุบันอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเนปาลบนพื้นราบเชิงเขาหิมาลัย) ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา ประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เมื่อประสูติ ได้ 7 วันพระมารดาก็ทิวงคต พระนางปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระเจ้าน้าได้เลี้ยงดูจนกระทั่งมีพระชนมายุได้ 16 ปีจึงอภิเษกกับพระนางพิมพา ครั้นพระชนมายุได้ 29 ปี ทรงมีพระโอรสคือเจ้าชายราหุล ในครั้งนี้ได้ทอดพระเนตรเห็นความไม่แน่นอนและความทุกข์ของชีวิต เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย จึงทรงเบื่อหน่ายและสังเวชสลดใจจนทรงดำริหาทางหลุดพ้นจากสภาพธรรมดา โดยการเสด็จออกบรรพชาและเสด็จประพาสไปในมัลละชนบท
จวบจนกระทั่งได้เสด็จผ่านมายังแคว้นมคธ และทรงพบท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร จึงทรงขอศึกษาลัทธิของท่านเหล่านี้จนสิ้นแล้วและได้ทรงทดลองทำตามในลัทธินั้นทุกอย่าง เพื่อทรงปฏิบัติทดลองตามลำพังพระองค์เอง โดยมี ปัญจวัคคีย์มาสมัครเป็นศิษย์ ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ
หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงแสดงอริยสัจ 4 จนท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม (บรรลุโสดาบัน) รู้แจ้งว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา" )ยงฺกิญจิ สมุทฺยธมฺมํ สพพนฺตํ นิโรธธมฺมํ) จึงขอบวชจากพระพุทธเจ้าโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ต่อมาท่านวัปปะ มหานามะ ภัททิยะ และอัสสชิ ก็ได้เห็นธรรมอย่างพระโกณฑัญญะ และได้ขออุปสมบท พระอริยสาวกเหล่านี้ได้ฟังเทศนาแล้วก็เกิดความเบื่อหน่ายคลายจิตหลุดพ้นจากการยึดมั่นเป็นอรหันต์ทั้ง 5 องค์ และได้แยกย้ายกันออกเผยแพร่พุทธศาสนา
พระศาสดาทรงเผยแพร่พุทธศาสนาถึง 45 ปี พอพระชนมายุได้ 80 ปี ก็เสด็จสู่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา (แคว้นกาเซีย รัฐอุตตรประเทศของอินเดีย) เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ใต้ต้นสาละ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ปรินิพพานแล้ว สาวกได้มีการตีความคำสอนแตกต่างหลากหลาย นิกายแยกย่อยมากมาย เพียงนิกายมหายานที่มีบทบาทโดดเด่น ส่วนกลุ่มที่อนุรักษ์คำสอนเดิมของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัดมีการตรวจสอบหลัก คำสอนอยู่เสมอเพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อน ถูกเรียกว่า "เถรวาท"
นิกาย
ทางพระพุทธศาสนา แบ่งได้ดังนี้
1. นิกายหินยาน มุ่งให้ปฏิบัติตนเพื่อเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากความทุกข์
2. นิกายมหายาน วิวัฒนาการจากนิกายมหาสังฆวาทโดยผสมผสานเข้ากับหลักคำสอนของนิกายอื่น เช่น นิกายเถรวาท
พุทธศาสนานิกายเถรวาท
นิกายนี้มีผู้นับถือมากในประเทศลังกาพม่า ลาว เขมร ไทย โดยเฉพาะประเทศไทยศูนย์กลางของนิกายเถรวาท เพราะมีการนับถือพุทธศาสนานิกายนี้สืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพชน
พระพุทธเจ้าไม่ใช่เทวดาหรือพระเจ้าแต่เป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์กยภาพเหมือนสามัญชนทั่วไป สามารถบรรลุสัจธรรมได้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ หลักปฏิบัติในชีวิตที่ทุกคนควรกระทำคือ ทำความดีละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วและการที่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ได้นั้นจะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อเป็นพาหนะนำผู้โดยสารเข้าทะเลแห่งวัฎฎสงสารไปสู่พระนิพพาน
หลักคำสอนที่พุทธศาสนาแบบเถรวาทได้ดำเนินตามคำสอนพระพุทธองค์ มีเรื่องที่ควรแก่การศึกษาดังนี้
ก. คัมภีร์พระไตรปิฎก
พระไตรปิฏกเป็นคัมภีร์สำคัญของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ระยะแรกนับตั้งแต่มีการปฐมสังคายนาพระวินัยที่กำหนดไว้เรียกว่า"พระไตรปิฏก"
คำว่า"ไตรปิฏก" มาจาก"เต หรือไตร"แปลว่า "สาม" และ"ปิฏก" แปลว่า ตะกร้าหรือกระจาด รวมความว่า "กระจาดที่ใส่พระพุทธวจนะไว้เป็นหมวดหมู่ มี 3 หมวด คือ
1. พระวินัยปิฎก มีสาระเกี่ยวกับข้อปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์
2. พระสุตตันตปิฎก มีสาระเกี่ยวกับเทศนาของพระพุทธเจ้าและพระสาวก
3. พระอภิธรรมปิฎก มีสาระเกี่ยวกับหลักธรรมทางด้านวิชาการ
ข. หลักคำสอนของพุทธศาสนานิกายเถรวาท
นักปราชญ์ตะวันตกส่วนมากคิดว่า หลักคำสอนทางพุทธศาสนามีความเป็น จริยธรรมมากกว่าที่จะเป็นศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่บุคคลนั้นต้องปฏิบัติเองเห็นเองและเข้าใจด้วยตนเอง คำสอนมุ่งเน้นอนัตตา แม้นว่ามีทัศนะในการมองโลกโดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักไตรลักษณ์ คือ เห็นโลก และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา(อนิจจัง) เพราะสภาพของสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในภาวะที่ตั้งอยู่ได้ไม่นาน (ทุกขัง) ที่มันตั้งอยู่ได้ไม่นานเพราะเป็นอนัตตา ตัวตนที่เราคิดว่ามีอยู่นั้นแท้จริงเราไม่สามารถไปบังคับผลักดันให้เป็นไปตามใจหวัง จึงไม่มีสิ่งใดที่ตั้งอยู่อย่างคงที่ได้นาน แม้แต่ร่างกายของเราก็ตาม ล้วนเกิดจากการประชุมของขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป ซึ่งหมายถึงส่วนของกาย เวทนาซึ่งหมายถึงความรู้สึกที่เป็นสุขบ้างทุกข์บ้างหรือเฉย ๆ ซึ่งหมายถึงความจำได้หมายรู้ สังขารหมายถึงการปรุงแต่ง ดีบ้างชั่วบ้างหรือเป็นกลาง ๆ ดังเช่น สภาวะทางจิตของบุคคลที่อยู่ในฌาน วิญญาณซึ่งหมายถึงการรู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้คือรูปและนามที่ประกอบรวมตัวกัน เมื่อเอาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ออกไปหมดแล้ว ความเป็นตัวตนร่างกายก็ไม่มีเช่นเดียวกับรถ จะเป็นรถได้ต้องประกอบด้วยเพลา ล้อ เกียร์ คลัช เบรก ฯลฯ เมื่อแยกสิ่งเหล่านี้ออกไปทีละขั้นความเป็นรถก็หมดไป ดังนั้นขันธ์ 5 เมื่อมาประชุมกันเมื่อใด วงล้อชีวิตทั้งหลายก็หมุนเวียนไปไม่รู้สิ้นสุด โลกทั้งโลกคือกายยาววาหนึ่งนี้เอง โลกมีอยู่เพื่อสัตว์โลกที่ยังติดข้องในตัณหา ถ้าหมดตัณหาได้ ดับไม่เหลือทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงจึงเกิดขึ้นเพราะตัณหาเป็นเหตุ
ชาวเถรวาทเชื่อว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเห็นความเป็นไปของชีวิตที่เกิดมาต้องมีทุกข์และรับผลของทุกข์ พระพุทธองค์จึงพยายามที่จะออกจากกงวงล้อแห่งวัฏฏสงสารด้วยความวิริยะอันยิ่งใหญ่ทำให้ทรงค้นค้นพบอริยสัจ 4 และปฎิจจสมุปบาทซึ่งเป็นความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในความหมุนเวียนแปรเปลี่ยนของโลก
อริยสัจ 4 : ความจริงอันประเสริฐและหนทางที่จะนำสัตว์โลกไปสู่การบรรลุ หลุดพ้น มี 4 ประการ คือ
ทุกข์ ( suffering )
หรือ ทุกข์อริยสัจ คือ สภาพที่ทนได้ยากหรือสภาพที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่องขาดแก่นสารและการไม่ให้ความพึงพอใจที่แท้จริง เช่น สภาวะที่ต้องเรียนหนังสือนาน ๆ โดยมิได้เปลี่ยนอิริยาบถทำให้เราทนต่อสภาวะนั้น ๆ ได้ยาก จึงมักจะหลีกจากสภาวะอันยากจะต่อการที่จะทนอยู่เช่นนั้นไปสู่สภาวะที่น่าปรารถนากว่าแล้วก็เรียกสภาพวะที่ทนได้ยากนี้ว่า "ทุกข์ " และเรียกสภาวะที่น่าปรารถนาว่า"สุข" ซึ่งแท้จริงแล้วความสุขก็คือ ความทุกข์ที่เบาบางกว่าหรือทุกข์ที่คลายได้แล้วนั่นเองทุกข์มีหลายชนิด คือ ทุกข์ที่มาจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเศร้าโศก ความระทมใจ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความน้อยอกน้อยใจ ความคับแค้นใจ ตลอดจนรวมไปถึงการเห็นสิ่งที่ไม่รักใคร่การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และการปรารถนาในสิ่งใดก็ไม่สามารถได้สิ่งนั้น ในพระธรรมจักกัปวัฒนสูตร ได้จำแนกทุกข์ไว้ 11 ชนิด มีดังนี้ คือ
1. ชาติคือ ความเกิด
2. ชรา คือ ความแก่
3. มรณะคือ ความตาย
4. โสกะคือ ความแห้งใจ ความเศร้าใจ
5. ปริเทวะคือ ความระทมใจพิไรรำพัน หรือความบ่นเพ้อ
6. ทุกข์คือ ความไม่สบายใจ ไม่สบายตัว
7. โทมนัสคือ ความไม่สบายใจ ความไม่น้อยใจ
8. อุปายาสคือ ความคับแค้นใจ ความตรอมใจ
9. อัปปิยสัมปโยคคือ การเห็นสิ่งที่ไม่รักใคร่
10. ปิยวิปปโยคคือ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักใคร
11. อิจฉิตาลาภะ คือ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น
ทุกข์ทั้ง 11 ชนิดนี้ สามารถจัดแบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภทคือ
สภาวทุกข์ หรือทุกข์ประจำ คือ ทุกข์อันเป็นสภาพธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ได้แก่ ชาติ ชรา และมรณะ
ปกิณณทุกข์ หรือทุกข์ขจร คือ ทุกข์ที่เกิดเป็นครั้วคราวขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส อัปปิยสัมปโยค ปิยวิปปโยค และอิจฉิตาลาภะ
สรุปได้ว่า ความทุกข์ที่เกิดทางกายก็คือหรือทางใจก็ดี ล้วนเกิดขึ้นมิได้นอกเหนือไปจากขันธ์ 5 รูปและนามยังมีอยู่ ตราบใดตราบนั้นทุกข์ย่อมเกิดปรากฎที่รูปและนามไม่มีที่สิ้นสุด รูปและนามเป็นตัวทุกข์เพราะจะต้องบำรุงให้มากทั้งยังเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ไม่นานมีความแปรปรวนแตกสลาย ตัวรับทุกข์อื่น ๆ คือ ทุกข์กายและใจอีกด้วย รูปและนามนี้จึงเป็นทั้งตัวทุกข์และตัวรับทุกข์
สมุทัย ( origin of suffering ) บ่อเกิดแห่งความทุกข์ ซึ่งมาจากตัณหาหรือความทะยานอยาก( craving ) ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลินใจเป็นอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ ทำให้เกิดผลอันเกิดจากการปฏิบัติ และเริ่มมีความยากใหม่ในรอบใหม่ เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะดับตัณหาได้
นิโรธ (the cessation of suffering)
คือ ความดับทุกข์ อันเป็นผลจากการกระทำของผู้ปฏิบัติอันได้แก่ ความดับโดยสำรอกทิ้งไม่เหลือซึ่งตัณหา ความวางตัณหา ความปล่อยตัณหาและความไม่พัวพันตัณหานั้น
มรรค (the Pate leading to the cessation suffering)
คือ ทางปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ อันเป็นทางสายกลางระหว่างการปฏิบัติสุดโต่งทั้ง 2 ทาง คือ การทรมานตนให้ลำบาก และการปรนเปรอตนให้ได้รับความสุขอย่างเต็มที่ ทางสายกลางมีดังนี้ คือ
1. สัมมาทิฎฐิ ( right view ) คือ การมีความรู้ถูกต้อง โดยเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่หลงมัวเมาไปกับสภาพมายาจึงเป็นผู้มีความละอายต่อการทำบาปทั้งปวง และมิอาจทำดีโดยหวังผล บุคคลเช่นนี้ไม่เป็นผู้มองสิ่งใดอย่างผิวเผิน แต่มีความคิดเป็นระบบตลอดจนมีสติสัมปชัญญะ
2. สัมมาสังกัปปะ ( right thought ) คือ ความดำริชอบ มีความนึกคิดชอบ มีความนึกคิดที่ถูกต้อง จึงเป็นผู้ปลอดโปร่งจากกาม ไม่เคียดแค้น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่คิดทำร้ายเขา
3. สัมมาวาจา ( right speech ) คือ การมีวาจาถูกต้องไม่กล่าวคำเท็จ ไม่นินทาเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไม่พูดคำหยาบคาย แต่พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกและสัตว์ทั้งหลาย
4. สัมมากัมมันตะ ( right action ) คือ การกระทำที่ถูกต้อง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ฉ้อฉลหรือทำลายของผู้อื่น และไม่ประพฤติผิดในกาม
5. สัมมาอาชีวะ ( right livelihood ) คือ การเลี้ยงชีวิตที่ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนผู้ใดและงดเว้นจากอาชีพดังนี้ คือ
– การค้าขายอาวุธ
– การค้าขายมนุษย์
– การค้าขายเนื้อสัตว์
– การค้าขายน้ำเมา
– การค้าขายยาพิษ
6. สัมมาวายามะ ( right effort ) คือ การพยายามในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เห็นแจ้งชัดในความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ด้วยการระวังและป้องกันความชั่วมิให้เกิดขึ้น ด้วยการละหรือกำจัดอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ด้วยการสร้างกุศลให้เกิดขึ้น และด้วยการรักษาและส่งเสริมกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้น
7. สัมมาสติ ( right mindfulness ) คือ การรำลึกประจำใจที่ถูกต้องหรือตื่นตัวอยู่เสมอว่าทำอะไร ดำรงจิตให้เป็นปัจจุบัน ไม่สติลอยเผลอไผลไปกับอำนาจของกิเลสตัณหา ซึ่งจะช่วยป้องกันยับยั้งตนเองไม่ให้หลงเพลินไปในความชั่วหรือเปิดโอกาสให้ความชั่วเล็ดลอดเข้ามาในจิตได้
8. สัมมาสมาธิ ( right concentration ) คือ การมีความตั้งมั่นแห่งจิตที่ถูกต้อง โดยทำจิตให้แน่วแน่ในอารมณ์หนึ่งที่ไม่มีโทษและรักษาอารมณ์นั้นให้ตลอดต่อไปได้นานตามที่ใจต้องการ
สรุปได้ว่าทางสายกลาง 8 ทาง นี้คือ คำสอนในเรื่องของปัญญา ศีล สมาธิ อันเป็นเรื่องของไตรสิกขา คือ การศึกษา 3 ประการในพุทธศาสนาซึ่งมีรายละเอียดดังนี้คือ
ศีล ( Morality ) คือ ความปกติและการรักษาศีลก็คือความตั้งใจรักษาปกติของตน อันเป็นหลักปฏิบัติไม่ทำให้เดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นและเป็นหลักแห่งความประพฤติที่จะทำให้เกิดความสะอาดทางกายและวาจา ศีลมีหลายประเภท เช่น ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลที่ควรกระทำเพื่อให้เกิดความปกติในสังคมก็คือ ศีล 5 เพราะสะดวกและง่ายที่จะปฏิบัติมีดังนี้คือ
1. พึงละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตลอดจนการประทุษร้ายผู้อื่นให้เขาได้รับความเจ็บปวดและทรมานเช่น การปล่อยให้สุนัขที่ตนเลี้ยงอดอาหารตาย การลอบวางยาพิษ การใส่สารพิษลงในอาหารและน้ำ การใช้อาวุธทำลายผู้อื่น การทรมานและสร้างความตื่นตระหนกแก่คนและสัตว์
2. พึงละเว้นจากการขโมย ฉ้อฉล ตลอดจนใช้อุบายโกงเพื่อหวังในทรัพย์สินของผู้อื่น เช่น การลักเด็กเพื่อเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง การนำหรือพาเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตมาเป็นของตนเอง
3. พึงละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เช่น การประพฤตินอกใจสามีหรือภรรยาของตน การประพฤติล่วงเกินในบุตรภรรยาหรือสามีของผู้อื่น ตลอดจนการทำร้ายในของรักของใคร่ของผู้อื่นเพราะคำว่ากามในที่นี้มิได้หมายเฉพาะในเรื่องกามอารมณ์เท่านั้น แต่กินความไปถึงของรักของใคร่ เช่น การที่เราตีสุนัขของเพื่อนจนตาย นอกจากจะผิดศีลข้อที่ 1 แล้วยังผิดศีลข้อที่ 3 นี้อีกด้วยเพราะสุนัขนั้นเป็นของรักของเพื่อน
4. พึงละเว้นจากการพูดเท็จ พุดส่อเสียดนินทาเพ้อเจ้อเหลวไหลพูดให้ร้ายผู้อื่น พุดเพื่อทำลายสามัคคีในหมู่คณะ พุดหยาบคาย ตลอดจนการพูดโน้มนำให้ผู้อื่นเกิดการปรุงแต่งทางกายอีกด้วย
5. พึงละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา ตลอดจนการทำในสิ่งที่จะทำให้เกิดความมึนเมาต่อประสาท อันเป็นผลให้ร่างกายสูญเสียความปกติ เช่น กัญชา ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาบ้า หรือยาขยัน บาร์บิตูและสิ่งเสพติดอื่นๆ
สมาธิ ( concentration ) คือ ความตั้งมั่นแห่งจิตหรือภาวะที่จิตสงบนิ่งอยู่ที่อารมณ์เดียว คือ รวบรวมจิตให้นึกคิดในเรื่อง ๆ หนึ่ง และสามารถบังคับจิตให้นึกถึงเรื่องนั้น ๆ ต่อกันไปได้นานตามที่ใจต้องการ
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้อธิบายวิธีปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาพอที่จะสรุปโดยย่อดังนี้คือ
ขั้นที่ 1 เราควรพยายามหายใจเข้าและออกให้ยาวที่สุดท่าที่จะยาวได้ เพื่อจะได้รู้ว่าลมหายใจที่เข้าและออกนั้นไปกระทบอะไรบ้าง ในลักษณะอย่างไร และไปสุดที่ไหนในท้อง จากนั้นให้กำหนดที่ปลายจมูกจุดหนึ่งและสะดือจุดหนึ่ง เมื่อเวลาหายใจให้ตามดูลมหายใจจากจุดแรกสุดไปยังจุดหลังเวลาหายใจในขั้นแรกนี้หายใจให้ยาวและเเรงต่อเมื่อจิตของเราจับลมหายใจเข้าและออกได้ก็ค่อย ๆ ผ่อนให้การหายใจนั้นเปลี่ยนเป็นธรรมดา จิตจะต้องอยู่ที่ลมหายใจอย่าให้ขาดตอนได้
ขั้นที่ 2 เมื่อจิตสามารถดูลมหายใจตลอดเวลาโดยไม่ขาดตอนแล้ว ขั้นต่อไปไม่ต้องวิ่งตามลมหายใจแต่ให้จิตกำหนดที่จุดใดจุดหนึ่ง เช่น จิตกำหนดอยู่ที่ปลายจมูก ไม่ว่าลมจะกระทบเมื่อหายใจเข้าหรือเมื่อหายใจออกก็ตามให้รู้ตัวทุกครั้งเหมือนยามที่ยืนเฝ้าประตูต้องคอยจับตามองว่ามีใครผ่านเข้า ออกประตูบ้าง เป็นการทำลมหายใจให้ปราณีตเข้าในขั้นนี้เมื่อเราสามารถกำหนดลมหายใจที่ปลายจมูกได้จนจิตแน่วแน่แล้วให้สร้างมโนภาพอย่างใดย่างหนึ่งอาจจะเป็นมโนภาพของหยดน้ำดวงแก้ว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็ได้
ขั้นที่ 3 ให้กำหนดว่าความสุขที่เราได้รับนั้นเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไรและความสุขนี้คืออะไร เหตุที่เราต้องพิจารณาความสุขก็เพราะ ความสุขเป็นความรู้สึกชนิดหนึ่ง ซึ่งตัวความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด ทำให้มนุษย์เกิดความทุกข์ เพราะการยึดมั่นในความรู้สึกทางกามคุณมาเป็นตัวพิจารณานั้นจะทำให้ยุ่งยากที่สุด ดังนั้นอุบายที่ดีก็คือ การนำเอาความรู้สึกขั้นสูงสุดคือความสุขที่เกิดจากการทำสมาธิมาเป็นวัตถุสำหรับการกำหนดเพราะถ้าเราสามารถทำลายความรู้สึกขั้นสูงสุดได้แล้วย่อมเป็นการง่ายที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกที่ต่ำกว่าละหยาบกว่า ในการกำหนดพิจารณาตัวความสุขนั้น เราจะเห็นได้ว่าตัวความสุขนี้เป็นตัวการปรุงแต่งจิต
ขั้นที่ 4 เมื่อเราบังคับความรู้สึกหรือความรู้สึกให้หยุดปรุงแต่งได้แล้ว ต่อไปให้พิจารณาจิตนี้ต่อไปว่าประกอบด้วยลักษณะอย่างไร มีความยาก มีความโกรธ มีความหลงอยู่หรือไม่ เป็นจิตที่มีลักษณะหดหู่หรือแช่มชื่น ให้ดูลักษณะของจิตในทุกลักษณะเรื่อยไปและดูจิตในขณะที่เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ด้วย
ขั้นที่ 5 บังคับจิตให้ตั้งมั่น จิตที่มีความตั้งมั่นจนเป็นสมาธิอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมีลักษณะดังนี้
ปริสุทโธ ตนั้นลักษณะสะอาดบริสุทธิ์เพราะไม่มีสิ่งใดมาปรุงแต่งจิต
สมาหิโต จิตนั้นมีความมั่งคงแน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ
กัมมนีโย จิตนั้นว่องไวต่อหน้าที่คือหน้าที่ในการพิจารณาอะไรก็ได้
ในการบังคับจิตจนเป็นสมาธินั้น เราอาจจะทำให้ได้หลายวิธี เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น อย่างไรตามควรกระทำในสถานที่ไม่อับอากาศและหายใจได้สะดวกสบาย ข้อควรระวังในการทำสมาธิ คือ พยายามอย่าให้เกิดนิวรณ์ 5 ซึ่งเป็นเครื่องกั้นจิตมิให้เกิดความสงบ
ประเภทของกรรม
ในการจัดแบ่งประเภทของกรรมนั้นท่านพุทธทาสภิกขุได้จำแนกออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. กรรมในทางศีลธรรมมีขอบเขตเพียงสองอย่าง คือ กรรมดีและกรรมชั่ว การทำกรรมดีนั้นทำให้เกิดผลดี คือ ความสุขความพอใจ แต่ก็ต้องเวียนว่ายไปในความดี บางครั้งเราเรียกกรรมดีนี้ว่า "กรรมขาว" ส่วนกรรมชั่วทำให้เกิดผลชั่วและมีการเวียนว่ายไปในความชั่ว บางครั้งกรรมชั่วอาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า"กรรมดำ" ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วต่างมีผลทำให้ต้องเกิดอีกจิตไม่อาจหยุดได้เพราะต้องรับผลของกรรมเรื่อยไป
2. กรรมในทางพุทธศาสนา หมายถึง กรรมอันเป็นที่สิ้นสุดของกรรมดีและ กรรมชั่ว
ช่องทางแห่งการกระทำกรรม
กายกรรม คือ กรรมทางกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักขโมย และการประพฤติผิดทางกามเป็นต้น กรรมเหล่านี้เป็นกุศล คือ ทางแห่งความชั่วอันนำไปสู่ความทุกข์และความเสื่อม แต่ถ้าเป็นกุศลกรรม คือ ทางแห่งความดีอันนำไปสู่ความเจริญแล้ว ได้แก่ การอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น
วจีกรรม คือ กรรมทางวาจา ได้แก่ การพูดปดมดเท็จ การพูดเสียดสีให้แตกความสามัคคี การพูดคำหยาบด้วยจิตใจที่มีโทสะ เพื่อให้เขาเจ็บใจการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล กรรมเหล่านี้จัดเป็นกุศล แต่ถ้าพูดคำจริงพูดให้มาสามัคคีพูดคำไพเราะและไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลกรรมเหล่านี้จัดเป็นกรรมฝ่ายกุศล
มโนกรรม คือ กรรมทางใจได้แก่ การคิดเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตน การคิดพยาบาทมุ่งร้าย การคิดทำนองคลองธรรมเช่นเห็นว่า"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" กรรมเหล่านี้เป็นกุศลการคิดเป็นการคิดที่เผื่อแผ่คิดเมตตาผู้อื่น คิดเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่น การมีความคิดที่ว่า" ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ความคิดเหล่านี้จัดเป็นกุศลกรรม
อบายมุข 4 คือ เหตุเครื่องฉิบหาย 4 อย่าง
1. ความเป็นนักเลงหญิง
2. ความเป็นนักเลงสุรา
3. ความเป็นนักเลงเล่นการพนัน
4. การคบคนชั่วเป็นมิตร
อบายมุข 6 คือ เหตุเครื่องฉิบหาย 6 อย่าง
1. ดื่มน้ำเมา
2. เที่ยวกลางคืน
3. เที่ยวดูการเล่น
4. เล่นการพนัน
5. คบคนชั่วเป็นมิตร
6. เกียจคร้านทำการงาน
มิตตปฏิรูป คือ คนเทียมมิตร 4 จำพวก คน 4 จำพวกนี้ไม่ใช่มิตรแต่เป็นคนเทียมมิตรที่ไม่ควรคบ
1. คนปอกลอก
2. คนดีแต่พูด
3. คนหัวประจบ
4. คนชักชวนในทางฉิบหาย
อิทธิบาท 4 คือ เครื่องให้สำเร็จความประสงค์ 4 อย่าง
1. ฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น ๆ
2. วิริยะ คือ ความเพียรประกอบในสิ่งนั้นๆ
3. จิตตะ คือ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ
4. วิมังสา คือ การหมั่นตรึกตรองพิจารณาทางเหตุผลในสิ่งนั้น
อคติ 4 อคติ 4 นี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติ
1. ลำเอียงเพราะรักใคร่กันเรียก ฉัน ทาคติ
2. ลำเอียงเพราะไม่ชอบกันเรียก โทสาคติ
3. ลำเอียงเพราะเขลาเรียก โมหาคติ
4. ลำเอียงเพราะกลัวเรียก ภยาคติ
พรหมวิหาร 4
1. เมตตาคือ ความรักและปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นเป็นสุข
2. กรุณาคือ ความสงสารและคิดที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
3. มุทิตาคือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
4. อุเบกขาคือ การวางเฉย ไม่ดีใจและเสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ
ค. เป้าหมายสุดท้ายและหลักปฏิบัติที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย
"นิพพาน" เป็นความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนเผาลนความเสียดแทงยอกตำและความผูกพันร้อยรัดอันมีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ นิพพาน มี 2 ชนิด คือ
1. สอุปาทิเสสนิพพาน
2. อนุปาทิเสสนิพพาน
นิพพานชนิดที่เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพพาน" นั้น หมายถึง การดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ และ "อนุปาทิเสสนิพพาน" หมายถึง การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย ความหมายเหล่านี้เป็นความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่อาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ (พระธรรมเจดีย์ และ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ. 2526 : 79 – 80) ได้ให้ความหมายที่แตกต่างไปจากนี้ว่า สอุปาทิเสส นิพพาน นั้นหมายถึง นิพพานของพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ซึ่งพระอริยบุคคลเหล่านี้ละสังโยชน์ได้ไม่หมด ยังมีกิเลสที่เป็นเศษเหลืออยู่บ้าง ส่วนนิพพานชนิดที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานนั้น เป็นนิพพานของพระอรหันต์ที่ละสังโยชน์ได้หมดแล้วไม่มีเศษเหลืออยู่
ดังได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นจะเห็นได้ว่านิพพานนั้นไม่ใช่สถานที่หรือดลกของพระเป็นเจ้าที่มีแต่ความสุขอย่างที่ใฝ่ฝันกัน แต่นิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตที่ทุกคนควรปฏิบัติเพื่อให้รอดพ้นจากความทุกข์ จิตไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากห้วงแห่งวัฎฎสงสาร ผู้เข้าถึงนิพพานได้เท่านั้นคือ บุคคลที่รู้แจ้งและเข้าใจในสภาวะความเป็นจริงของโลก การเข้าถึงนิพพานจึงไม่ใช่การใช้วิธีอธิบายตามแบบภาษาคน แต่บุคคลนั้นต้องปฏิบัติตามมรรค 8 ประการด้วยตนเอง และเห็นด้วยตนเอง อันเป็นความรู้เฉพาะตน นิกายเถรวาทเชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เน้นในการปฏิบัติมากกว่าการใช้โวหารหรือหลักเหตุผลทางปรัชญามาโต้คารมกัน หากบุคคลสะอาด สงบและเยือกเย็น เพราะดับซึ่งความเร่าร้อนเผาลนของราคะ โทสะ ดมหะ ปราศจากซึ่งการเสียดแทงและผูกพันร้อยรัดของโลกธรรม 8 ประการ จิตบุคคลนั้นย่อมเปี่ยมไปด้วยปัญญาเพราะว่างจากสาระที่จะไปยึดถือจิตจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ง. พิธีกรรมสำคัญทางศาสนาพุทธ
1. พิธีบรรพชาและพิธีอุปสมบท
2. พิธีเข้าพรรษา ซึ่งกำหนดไว้ 2 ระยะ คือ
– วันเข้าพรรษาแรก เรียกว่า ปุริมพรรษา ตรงกับ แรม 1 ค่ำ เดือน 8
– วันเข้าพรรษาหลัง เรียกว่า ปัจฉิมพรรษา ตรงกับ แรม 1 ค่ำ เดือน 9
3. พิธีกฐิน
4. พิธีปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้สงฆ์ตักเตือนกันได้
5. พิธีแสดงอาบัติ
จ. วันสำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
1. วันมาฆบูชา
เป็นวันสำคัญทางศาสนาที่ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เพื่อระลึกถึงพระ
พุทธองค์ได้บวชในสมัยที่ตรัสรู้ได้ 9 เดือนแล้ว ได้มีพระอรหันต์ซึ่งเป็นสาวกที่พระพุทธองค์ได้บวชให้มาประชุมเฝ้าพระพุทธองค์โดยมิได้นัดหมายเป็นจำนวนทั้งหมด 1,250 รูป ในวันนี้ พระพุทธองค์ได้แสดงโอวาทปาฎิโมกข์ประธานแก่พระอรหันต์สาวกเหล่านั้น เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงชาวพุทธฝ่ายเถรวาท จึงจัดให้มีการบูชาพิเศษตักบาตรในตอนเช้า เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ 3 รอบ โดยมีพระสงฆ์ นำขบวนและมีการฟังเทศน์ในตอนกลางคืน บางคนอาจจะถือศีล 8 ในวันนี้ก็ได้
2. วันอัฏฐมี (วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ)
ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 อันเป็นวันที่ 8 นับแต่วันที่ทรงดับขันธปรินิพพาน ได้มีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ณ มกุฎพันธเจดีย์ กรุงกุสินารา ประเทศอินเดีย
ทางราชการของไทย ไม่ได้สั่งหยุดในวันนี้แต่ให้ไปรวมทำบุญในวันเดียวกับ วิสาขบูชา
3. วันวิสาขบูชา
ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันที่พระพุทะองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ตรงกันในวันเดียวกันนี้ เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระพุทธองค์ ชาวพุทธได้ถือเป็นวันบูชาพิเศษ จึงนิยมทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ฟังเทศน์ ถือศีล 8 และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ 3 รอบ
4. วันอาสาฬหบูชา
ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระพุทธองค์แสดงปฐมเทศนา (ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร) โปรดปัญจวัคคีย์จนกระทั่งพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมทูลขอบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกของพุทธศาสนา ในวันนี้นิยมทำบุญตักบาตร เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ 3 รอบ บางคนอาจถือศีล 8 ตลอดทั้งวัน
5. วันเข้าพรรษา
ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันพักในฤดูฝนตามพุทธบัญญัติ ให้พระสงฆ์อยู่ประจำในวัดใดวัดหนึ่งเป็นเวลา 3 เดือน มิฉะนั้นพระสงฆ์อาจไปเหยียบย่ำไร่นาและสัตว์ แมลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นมากมายในฤดูนี้ แต่หากจำเป็นจะไปไหนมาไหนให้ไปได้คราวละไม่เกิน 7 วัน ต้องกลับเรียกว่า "สัตตาหะ" หากผิดพระบัญญัติ พรรษาขาด และถูกปรับอาบัติด้วย
ในวันนี้ชาวพุทธศาสนิกชนนิกายเถรวาทในไทย นิยมหล่อเทียนและแห่เทียนถวายวัด เพื่อให้พระสงฆ์ได้มีแสงสว่างในตอนกลางคืน ตลอดพรรษา 3 เดือน จะได้อ่านตำรา คัมภีร์ต่าง ๆ เป็นการฝึกฝนสติปัญญาในช่วงที่จำพรรษานี้ นอกจากนี้ยังนิยมตักบาตร ฟังเทศน์ ถือศีล ตามศรัทธา
6. วันออกพรรษา
ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ในวันนี้พระสงฆ์จะต้องปวารณากรรมแทนอุโบสถกรรม คือยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนได้ บางครั้งจึงเรียกวันนี้ว่า "วันปวารณา" หรือ มหาปวารณา"
โดยปกติพระสงฆ์ต้องสวดปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือนในวันอุโบสถเป็นประจำ แต่ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ทำปวารณาทาน และต้องประชุมกระทำกันในสีมา
ในวันนี้พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรเทโว โดยนำข้าวต้มมัด ข้าวต้มลูกโยนใส่บาตรพระซึ่งการตักบาตรเทโวนี้เกิดความเชื่อว่า พระพุทธองค์ได้เสด็จไปสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดา เมื่อออกพรรษาแล้วจึงเสด็จลงมาสู่มนุษยโลก ณ เมือง สังกัสสะ ประชาชนรับเสด็จ จำนวนมากจึงเกิดการตักบาตรเทโวขึ้นมา การตักบาตร เทโวนี้กระทำกันในบริเวณวัดแล้วแต่สะดวก
พุทธศาสนานิกายมหายาน
ก. ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนานิกายเถรวาทและนิกายมหายาน
"มหายาน" แปลว่า "ยานอันยิ่งใหญ่" ซึ่งหมายถึง หนทางที่จะนำสรรพสัตว์จำนวนมหาศาลไปสู่การบรรลุหลุดพ้น
กำเนิดของมหายานนั้นเริ่มก่อเค้าตั้งแต่พระพุทธองค์ปรินิพพานได้ 100 ปี อันเป็นช่วงเวลาที่มีการสังคายนาครั้งที่ 2 ทั้งนี้เพราะภิกษุกลุ่มหนึ่งเรียกว่า "มหาสังฆิกะ" ได้แยกตนออกไปต่างหากจากกลุ่มที่พยายามอนุรักษ์ของเดิม ซึ่งเรียกว่า "เถรวาท" การแยกตัวของมหาสังฆิกะนี้ได้ทำให้เกิดความแตกแยกในเรื่องหลักปฏิบัติของนักบวช หลังจากนั้นมหาสังฆิกะได้แยกกลุ่มนิกายย่อยออกไปอีก 18 นิกาย เพราะมีทัศนะอุดมคติ หลักธรรม และวัตรปฏิบัติที่ผิดแผกแตกต่างกัน ความแตกแยกนี้ ไม่ได้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นได้มีภิกษุบางรูปในนิกายทั้ง 18 นี้ ได้แยกออกมาตั้งคณะใหม่ ทำให้เกิดเป็นนิกายมหายาน
ความแตกต่างระหว่างนิกายมหายานและนิกายเถรวาทมีข้อที่น่าสังเกตดังนี้ คือ
1. นิกายมหายานเป็นนิกายที่มีหลักปฏิบัติเพื่อช่วยมหาชนให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงตนเองในบางครั้งชาวมหายานอาจจะต้องยอมตกนรกถ้าหากว่าการกระทำนั้น ๆ จะเป็นการช่วยชีวิตของสรรพสัตว์ไว้ได้
2. การหลุดพ้นของเถรวาทเป็นไปในลักษณะที่รีบด่วน หลุดพ้นจากความทุกข์ ส่วนมหายานจะไม่รีบด่วนไปสู่ความดับทุกข์จนกว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ดังนั้น ชาวมหายานจึงมีปณิธานที่ว่า "หากยังมีสัตว์ที่ต้องตกทุกข์ได้ยากอยู่ก็จักไม่ขอปรารถนาบรรลุพุทธภูมิ"
3. นิกายเถรวาทปฏิเสธเรื่องราวของพระพุทธองค์หลังปรินิพพาน แต่นิกายมหายานเชื่อว่าหลังจากที่พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว พระองค์ยังคงมีอยู่และรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในโลกนี้ และจะเสด็จกลับมาสู่โลกนี้อีกเพื่อโปรดสรรพสัตว์
4. นิกายมหายานเชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีจิตสากล หรือพุทธภาวะที่แจ่มจรัสปราศจากกิเลส ส่วนนิกายเถรวาทไม่ยอมรับในเรื่องนี้
สองนิกายจะมีรายละเอียดของความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองนิกายต่างมีจุดยืนที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันคือ พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่สุดของความทุกข์ทั้งปวงมุมมองที่แตกต่างกันเช่นนี้ทำให้เห็นว่าพระพุทธศาสนามีทุกสิ่งที่ถูกต้องกับจริตนิสัยของมนุษย์ พุทธศาสนามหายานได้อนุโลมแก้ไขการปฏิบัติให้กลมกลืนกันได้กับลัทธิธรรมเนียม อุปนิสัย ตลอดจนความต้องการเผยแพร่พุทธศาสนาให้ได้ปริมาณของพุทธศาสนิกชนให้มากที่สุด ส่วนเถรวาทหรือสาวกยานนั้น มิได้เป็นยานแคบเพื่อหลุดพ้นเฉพาะตัวเพราะฝ่ายเถรวาทเชื่อว่าทุกคนสามารถเลือกวิถีชีวิตของตนและไม่ได้หวงห้ามไม่ให้ปรารถนาพุทธภูมิ ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกปฏิบัติตามศักยภาพของตน นิกายเถรวาทจึงไม่มีการบีบบังคับหรือหากลยุทธ์ที่จะผลักดันบุคคลให้เข้าถึงธรรมโดยถือเ อาปริมาณเป็นสำคัญ แต่ฝ่ายเถรวาทเชื่อกันว่าบุคคลใดก็ตามที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต่อเมื่อ เขาถึงจุดที่พร้อมแล้วแห่งการบรรลุธรรม หรือมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้ามาสนใจในธรรม คำสอนของพระพุทธองค์มีหลานระดับหลายรูปแบบ ทุกคนสามารถที่จะนำไปใช้ได้ตามความเหมาะสมและตามจริตนิสัยเถรวาทจึงเป็นนิกายที่มีลักษณะแห่งการเผยแพร่แบบเสรีประชาธิปไตย
ข. ความเชื่อในเรื่องพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
มหายานในระยะแรกมีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีเพียง 2 กาย คือ ธรรมกรรม ซึ่งหมายถึงพระคุณของพระพุทธองค์ ได้แก่ พระเมตตาคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ นอกจากธรรมกายก็มี นิรมาณกาย หมายถึง กายเนื้อในขณะที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ มหายานได้แต่งเติมเพิ่มอีกกายหนึ่งเข้าไปคือ สัมโภคกาย ซึ่งเป็นกายของพระพุทธองค์ที่สำแดงให้ปรากฏเฉพาะ พระโพธิ์สัตว์ พระกายนี้เป็นสภาวะทิพย์มีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านทั่วไป พระองค์ยังทรงสดับคำสวดมนต์ของเรา แม้จะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
ชาวมหายานเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายในจักรวาล เสด็จมาอุบัติเพื่อสั่งสอนธรรมอยู่ทั่วไปนับจำนวนไม่ถ้วน แม้ในโลกธาตุของเราจะว่าง พระพุทธเจ้าแต่โลกธาตุอื่น ๆ ก็มีพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ กำลังสั่งสอนสัตว์โลก โลกธาตุที่พระพุทธเจ้ามาอุบัติเรียกว่า "พุทธเกษตร" ซึ่งมีหลายแห่ง เช่น พุทธเกษตรของพระพุทธไภสัชชคุรุไวฑูรย์ประภาราชาซึ่งอยู่ทางตะวันออกของโลกธาตุ
การที่ชาวมหายานสร้างความเชื่อในเรื่องพุทธเกษตร อาจเป็นเพราะต้องการปลอบใจมหาชนที่ยังอยากมีชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องการบรรลุนิพพาน คนส่วนมากคิดว่าการบรรลุนิพพานเป็นการยากยิ่ง จึงต้องสร้างความเชื่อในเรื่องพุทธเกษตรขึ้นมา เพื่อสนองความต้องการของคนบางกลุ่มที่ยังรักความสะดวกสบาย ทำให้เกิดการตั้งปณิธานไปเกิดในพุทธเกษตรเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ และแล้วก็จะบรรลุนิพพานได้โดยสะดวกไปเอง การบรรลุหลุดพ้นในพระพุทธศาสนามี 3 ทาง คือ
1. สาวกยาน คือ หนทางที่นำมนุษย์ให้บรรลุหลุดพ้นโดยการรู้แจ้งในอริยสัจย์ 4 เป็นยานของพระสาวกที่มุ่งเพียรอรหันตภูมิ
2. ปัจจเจกยาน คือ หนทางที่นำมนุษย์ไปสู่การบรรลุหลุดพ้นโดยการรู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเองแต่ไม่สามารถสั่งสอนผู้อื่น เป็นยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า
3. โพธิสัตวยาน คือ หนทางที่นำมนุษย์ไปสู่การบรรลุหลุดพ้น โดยการรู้แจ้งในศูนยตาธรรมเป็นยานของพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องการอรหันตภูมิ เพราะการโปรดสัตว์ไม่กว้างขวางเท่ากับการเป็นพระพุทธเจ้า แต่การเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องใช้เวลาแสนนานเป็นกัปป์เป็นกัลป์ ชาวมหายานจึงปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์แม้นว่าตนเองอาจต้องทนทุกข์แทนสัตว์เหล่านั้นก็ตาม
พระโพธิสัตว์จึงเป็นบุคคลที่มีความเมตตากรุณาอย่างกว้างขวาง แม้ตนจะสามารถทำลายกิเลสให้หมดไปในทันทีได้ในทันทีได้ แต่ก็ไม่ทำเพราะจะช่วยสรรพสัตว์ให้หมดความทุกข์ก่อน พระโพธิสัตว์จึงเป็นผู้ที่ชาวมหายานรู้สึกใกล้ชิดและอบอุ่น สามารถอ้อนวอนขอสิ่งต่าง ๆ ได้ตามต้องการ เพราะพระโพธิสัตว์มีหลักการที่ต้องช่วยเหลือสัตว์และอาจรับทุกข์แทนสัตว์ทั้งหลายได้แม้จะต้องตกนรกก็ตาม พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นที่รู้จักและเป็นผู้ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากทุกข์คือ พระอวโลกิเตศวร และพระมหาสถาปราปต์
ค. คัมภีร์และหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
นิกายมหายานเคารพในพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า และเคารพในพระไตรปิฎกเช่นเดียวกับเถรวาท แต่ถือว่ายังไม่พอเนื่องจากเกิดสำนึกร่วมขึ้นมาว่านามและรูปของพระพุทธองค์เป็นโลกุตตระไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญไปนั้นเป็นเพียงภาพมายาพระธรรมกาย ซึ่งเป็นธาตุอันบริสุทธิ์ยังคงมีอยู่ต่อไป มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า ถ้ามีกิเลสมาบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏศักยภาพที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ถ้าได้รับการฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก
มหายานจะมีทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม 250 ข้อ ไม่ได้เป็นหมวดหมู่แบบเถรวาท สิกขาบทของมหายานได้เพิ่มพระวินัยของพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง เรียก "พรหมชาลโพธิสัตว์ศีล" และ "โยคโพธิสัตว์ศีล" แม้จะต้องครุกาบัติ เป็นปาราชิกในโพธิสัตว์สิกขาบทก็สามารถสมาทานใหม่ได้ ศีลพระโพธิสัตว์ได้ห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ของสดคาวและหัวหอม หัวกระเทียม เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดกำหนัดราคะกางกั้นจิตมิให้บรรลุสมาธิ และการกินเนื้อสัตว์นี้อาจกินถูกเนื้อบิดามารดาในชาติก่อน ๆ ของตน
ง. หนทางแห่งการบรรลุธรรมของนิกายมหายาน
ปณิธานของฝ่ายมหายานที่พุทธมามกะ ซึ่งเป็นนักปฏิบัติจะต้องยึดถือเป็นอุดมคติประจำใจมี 4 ข้อ คือ
1. เราจะละกิเลสทั้งหลายให้หมดไป
2. เราจะศึกษาธรรมทั้งหลายให้เจนจบ
3. เราจะโปรดสัตว์ทั้งหลาย
4. เราจะต้องบรรลุพุทธภูมิ
พุทธมามกะนักปฏิบัติธรรมของมหายานต้องมุ่งปรารถนาพุทธภูมิเป็นสำคัญ การที่จะไปพุทธภูมิได้นั้นจะต้องสร้างบารมีธรรม (ปารมิตา) ให้มากพอที่จะสำเร็จพระโพธิญาณได้ บารมีธรรมนี้ก็คือ คุณชาติที่ทำให้ข้ามถึงฝั่งพระนิพพาน
บารมี 6 (ปารมิตา 6) มีดังนี้ คือ
1. ทาน เป็นคู่ปรับของโลภะ
2. ศีล
3. ขันติ เป็นคู่ปรับของโทสะ
4. วิริยะ
5. สมาธิ เป็นคู่ปรับของโมหะ
6. ปัญญา
ทานบารมี ในมหายานหมายถึงทาน 3 ชนิด คือ วัตถุทาน อภัยทาน และธรรมทาน ซึ่งเป็นเลิศกว่าทานทั้งปวง เพราะเป็นการให้ปัญญา
ศีลบารมี ในมหายานนั้นมีสิกขาบท 250 ข้อ ศีลโพธิสัตว์ 58 ข้อ ซึ่งแบ่งเป็นครุกาบัติ 10 ข้อ และลหุกาบัติ 48 ข้อ จากหนังสือพระพุทธศาสนามหายานของคณะสงฆ์จีนนิกาย
ครุกาบัติ 10
1. ผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตายด้วยมือตนเอง ใช้ผู้อื่นกระทำ หรือเป็นใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิตสัตว์เล็กใหญ่ให้ตาย ต้องสถานโทษหนัก
2. ผู้ถือเอาของผู้อื่น มีราคา 5 มาสก ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
3. ผู้เสพเมถุน นำนิมิตล่วงเข้าไปในทวารหลัก ทวารเบา หรือทางปากของผู้ชาย หรือผู้หญิงตลอดจนสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย ต้องสถานโทษหนัก
4. ผู้อุตตริมนุษยธรรม อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
5. ผู้ผลิตสุราเมรัยน้ำเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง กระทำหรือผลิตเองหรอใช้คนอื่นกระทำหรือผลิต ต้องสถานโทษหนัก
6. ผู้กล่าวร้ายบริษัทสี่ ใส่ไคล้อาบัติชั่ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษามานะ (สิกขามานา) สามเณร และสามเณรี โดยไม่มีมูลด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
7. ผู้ยกตนข่มท่าน ติเตียนนินทาภิกษุอื่น ยกย่องตนเองเพื่อลาภด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
8. ผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่มีมุทิตาจิต ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้ยากจน ขอทานกลับขับไล่ไสส่ง กระทำด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
9. ผู้มุทะลุฉุนฉียว ตลอดจนก่อการวิวาท ใช้มีด ใช้ไม้ ใช้มือทุบตีภิกษุอื่น กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
10. ผู้ประทุษร้ายต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
ครุกาบัติ 10 ข้อนี้ผู้ใดล่วงละเมิดไม่ได้ถือว่าเป็นปาราชิก
ลหุกาบัติ 48
1. ผู้ไม่เคารพ ผู้มีอาวุโส ชั้นอาจารย์ของตน
2. ผู้ดื่ม สุรา เมรัย
3. ผู้บริโภค โภชนาหารปลาและเนื้อ
4. ผู้บริโภคผักมีกลิ่นแรงฉุน ให้โทษเกิดราคะ 5 ชนิด คือ 1. หอม
2. กระเทียม 3. กุไฉ 4. หลักเกี๋ย 5. เฮงกื่อ
5. ผู้ไม่ตักเตือน ผู้ต้องอาบัติให้แสดงอาบัติ
6. ผู้ไม่บริจาค สังฆทานแก่ธรรมกถึก
7. ผู้ไม่ไปฟังการสอนธรรม
8. ผู้คัดค้าน – พระพุทธศาสนาในมหายานนิกาย
9. ผู้ไม่ช่วยเหลือ – คนป่วย
10. ผู้เก็บอาวุธ – สำหรับฆ่ามนุษย์หรือสัตว์ไว้ในครอบครอง
11. ผู้เป็นทูตสื่อสารในทางการเมือง
12. ผู้ค้า – มนุษย์ไปเป็นทาส ขายสัตว์ไปให้เขาฆ่าหรือใช้งาน
13. ผู้พูดนินทาใส่ร้ายผู้อื่น
14. ผู้วางเพลิงเผ่าป่า
15. ผู้พูดบิดเบือนข้อความพระธรรมให้เสื่อมเสีย
16. ผู้พูดอุบายเพื่อประโยชน์ตน
17. ผู้ประพฤติข่มขี่บังคับเขาให้ทานวัตถุ
18. ผู้อวดอ้างตนเป็นอาจารย์เมื่อตนเองยังเขลาอยู่
19. ผู้พูดกลับกลอกสองลิ้น
20. ผู้ไม่ช่วยสัตว์ เมื่อเห็นสัตว์นั้นตกอยู่ในภยันตราย
21. ผู้ผูกพยาบาท คาดแค้น
22. ผู้ทะนงตัว ไม่ขวนขวายศึกษาธรรม
23. ผู้เย่อหยิ่ง กระด้างก้าวร้าว
24. ผู้ไม่ศึกษาพระธรรม
25. ผู้ไม่ระงับการวาทเมื่อสามารถสงบได้
26. ผู้ละโมภเห็นแก่ตัว
27. ผู้น้อมลาภที่เขาถวายสงฆ์อื่นมาเพื่อตน
28. ผู้น้อมลาภ ที่เขาจะถวายสงฆ์ไปตามชอบใจ
29. ผู้ทำเสน่ห์ยาแฝดฤทธิ์เวท ให้คนคลั่งไคล้
30. ผู้ชักสื่อ ให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน
31. ผู้ไม่ช่วยเหลือ ไถ่ค่าตัวคนให้พ้นจากเป็นทาสเมื่อสามารถ
32. ผู้ซื้อขาย อาวุธสำหรับฆ่ามนุษย์และสัตว์
33. ผู้ไปดู กระบวนทัพมหรสพ และฟังขับร้อง
34. ผู้ไม่มีขันติ อดทนสมาทานต่อศีล
35. ผู้ปราศจากกตัญญู ต่อบิดา มารดา อุปัชฌาอาจารย์
36. ผู้ปราศจากสัตย์ต่อคำปฏิญาณ จะตั้งอยู่ในพรหมจรรย์
37. ผู้ปฏิบัติธุดงควัตรในถิ่นที่มีภยันตราย
38. ผู้ไม่มีคารวะ ไม่รู้จักต่ำสูง
39. ผู้ไม่มีกุศลจิต ไม่สร้างบุญ สร้างกุศล ทำทาน
40. ผู้มีฉันทาคติ ลำเอียงการให้บรรพชาและอุปสมบท
41. ผู้เป็นอาจารย์สอนด้วยการเห็นแก่ลาภ
42. ผู้กระทำสังฆกรรมแก่ผู้มีมิจฉามรรยา
43. ผู้เจตนา ฝ่าฝืนวินัย
44. ผู้ไม่เคารพ สมุดพระธรรมคัมภีร์
45. ผู้ไม่สงเคราะห์โปรดเวไนยสัตว์
46. ผู้ยืนหรือนั่งที่ต่ำแสดงธรรม
47. ผู้ยอมจำนนต่ออำนาจธรรมโรธี (อำนาจที่ผิดธรรม)
48. ผู้ล่วงละเมิดธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา
จ. บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในนิกายมหายาน
คณะสงฆ์จีนนิกาย ได้จัดลำดับไว้มีดังนี้
1. พระเจ้ากนิษกะมหาราช (พ.ศ.6-7) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกของพุทธศาสนา ได้ทรงจัดให้มีการสังคายนาชำระพระธรรมวินัยโดยบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มีพระปารศวะเป็นองค์ประธานในการประชุมสังคายนา
2. พระอัศวโฆษ ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉาน มีความสามารถในการเทศนาธรรมและการโต้วาทีหาเหตุผล เป็นนักกวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง งานที่สร้างชื่อเสียงทางกวีได้แก่ "พุทธจริต" ซึ่งเป็นพุทธประวัติบรรยายในลักษณะคำประพันธ์ร้อยกรองประเภทกาพย์ และพระสูตรต่าง ๆ อีกมากมาย
3. พระนาคารชุน เป็นผู้สร้างปรัชญามหายานด้วยกวีนิพนธ์ชื่อ "มาธยมิกศาสตร์" ซึ่งเป็นที่รวบรวมปรัชญาของนิกายต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาไว้เกือบหมด เป็นผู้ให้กำเนิดนิกายมาธยมิกะหรือนิกายศูนยวาท ท่านเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา เมื่อ พ.ศ. 7
4. พระอสังคะกับพระวสุพันธุ ท่านอสังคะได้ร้อยกรองปกรณ์สำคัญต่าง ๆ เช่น โยคาจารย์ภูมิศาสตร์ ปกรณวาจาศาสตร์ การิกาและมหายานสัมปริครหศาสตร์ ส่วนพระวสุพันธุได้เขียนปกรณ์อื่น ๆ เช่น วิชญาณมาตรา สิทธิตรีทศศาสตร์ และฎีกาอื่น ๆ อีกหลายเล่ม ตั้งลัทธิโยคาจาร
5. พระทินนาค เป็นผู้ปราดเปรียวทางพุทธตรรกวิทยาและเป็นนักโต้วาทีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงได้รับสมัญญานามว่า "บิดาแห่งนยายศาสตร์" ผลงานของท่านได้ถูก ถ่ายทอดเป็นภาษาจีนและธิเบตที่สำคัญ มีดังนี้ คือ
1. ประมาณสมุจจัย
2. นยายประเวศ
6. พระธรรมกีรติ ท่านเป็นอาจารย์ในนิกายวิชญาณวาท เป็นนักปราชญ์และนักตรรกวิทยา
7. พระสถิรมติ พระจันทรมนตรี และพระรัตนเกียรติ เป็นผู้ช่ำชองพระอภิธรรมปิฎก งานนิพนธ์ของท่านเป็นเรื่องแต่งฎีกา ในผลงานของท่านวสุพันธุผู้เป็นอาจารย์ เช่น ฎีกาของคัมภีร์อภิธรรมโกศ
8. พระธรรมปาละ เป็นชาวอินเดียภาคใต้ ศึกษาในสำนักของท่านทินนาค ท่านได้ใช้เวลาไปในการเทศนาสั่งสอนลัทธิธรรมฝ่ายวิชญาณวาทและฏีกาอธิบายปกรณ์ในฝ่ายศูนย์วาท
ฉ. พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ของมหายาน
ชาวพุทธมหายาน โดยเฉพาะชาวจีนเชื่อกันว่า นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วยังมีพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์อื่นอีกเป็นจำนวนมาก แบบ จึงนิยมที่จะประดิษฐานรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ และอาจมีรูปของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้รักษาคุ้มครองพระอาราม พระภิกษุสงฆ์ ถ้าเป็นพระอารามใหญ่ที่มีพระสงฆ์มากกว่า 1,000 รูปแล้ว ก็จะประดิษฐานพระมัญชุศรีและพระสมันตภัทร แต่ถ้าเป็นบ้านของชาวพุทธมหายานทั่ว ๆ ไปจะบูชาพระกวนอิมเป็นส่วนมาก
ช. พิธีกรรมและวันสำคัญในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
พุทธศาสนามหายานมีวันสำคัญทางศาสนาเช่นเดียวกับพุทธศาสนาฝ่านเถรวาท ซึ่งเป็นวันที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธประวัติของพระพุทธองค์ อาทิเช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬบูชา และวันมาฆบูชา
พิธีกินเจ (เก้าอ๊วงเจ หรือ กิวอ๊วงเจ)ิ
พิธีนี้นิยมกระทำในเดือนเก้าทุกปีตามปฏิทินจีน ตลอด 9 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำเดือน 9 เพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับพระโพธิสัตว์ 2 พระองค์
1. พระวิชัยโลกมนจรพุทธ
2. พระศรีรัตนะโลกประภาโฆษอิศวรพุทธะ
3. พระเวปุลลรัตนะโลกสุวรรณสิทธิพุทธะ
4. พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ
5. พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ
6. พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ
7. พระเวปุลลจันทรโลกไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ
8. พระศรีสุขโลกปัทมครรภอลังการโพธิสัตว์
9. พระศรีเวปุลลสังสารโลกสุขะอิศวรโพธิสัตว์
ทุก ๆ ปี ของวันขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 ชาวพุทธมหายานจึงนิยมถือศีล กินเจ เพื่อว่าเทพเจ้าจะได้อำนวยพรให้ดียิ่งขึ้นไป เพราะถ้าใครประพฤติตัวชั่วช้าจะต้องถูกลงโทษตามโทษานุโทษ พิธีบูชา ดาวนพเคราะห์นี้ถือกันว่ามีอานิสงส์มาก เพราะบรรดาพุทธบริษัทได้มีโอกาสทำบุญ ให้ทานรักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนาแผ่ส่วนกุศลให้แก่สัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากในอเวจีนรก พุทธบริษัทมหายานนิยมนุ่งขาวห่มขาวในวันนี้ เพื่อเตือนใจให้ซักฟอกจิตใจให้ขาวสะอาด และเป็นการน้อมจิตระลึกถึงพระเมตตาของเจ้าทั้ง 9 องค์
พิธีกงเต๊ก
พิธีนี้เป็นการกระทำให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วโดยการกระทำถัดจากวันตายเป็นต้นไป คำว่า "กง" หมายถึง การกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ คำว่า "เต๊ก" หมายถึง กุศลกรรม รวมความว่ากงเต๊ก คือ พิธีที่ประกอบเพื่อความดี
บรรณานุกรม
ประเวส วะสี.(2540). พุทธธรรมกับสังคม.กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน.
ฟาริดา อิบราฮิม.(2541). นิเทศน์วิชาชีพและจริยศาสตร์สำหรับพายาบาล.พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สามเจริญพาณิชย์.
วินัย ประจักษ์ จกก ธม.โม(จำปาดอง).(2545). ศาสนาในโลกปัจจุบัน. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
สันติสุข โสภณสิริ.(2536). พระพุทธเจ้าของฉัน.พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สยาม.
สิวลี ศรีวิไล.(2528). จริยศาสตร์สำหรับพยาบาล. มหาสารคาม : ปรีดาการพิมพ์.
Lopes,Jr,Donald (edition).(1993) . Buddhist Hermenuetics. Delhi : Motilal banarsidass.
Tenzin Gyatso . (1995). The World of Tibetan Buddnism Boston : Wisdom publications.
Williams, P .(1989). Mahayana Buddnism. New york : Routledge.




