มีวัดแห่งหนึ่งเกิดว่างเจ้าอาวาสลง เพราะเจ้าอาวาสเก่ามรณภาพ ชาวบ้านจึงไปนิมนต์หลวงตารูปหนึ่งมาเป็นเจ้าอาวาสดูแลวัดแทน ถึงวันพระชาวบ้านก็ไปทำบุญรับศีลและฟังเทศน์กันตามธรรมเนียม
วันพระแรกที่หลวงตาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ชาวบ้านรู้ทันทีว่าท่านเทศน์ไม่เป็น ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงนั่งฟังด้วยความเบื่อหน่าย หลายคนถึงกลับม่อยหลับไป
วันพระที่สอง ท่านเจ้าอาวาสใหม่ก็ขึ้นเทศน์อีก แต่ก็ไม่ได้เรื่องในความรู้สึกของชาวบ้านตามเคย ชาวบ้านหลับมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากฟังเทศน์ในวันพระที่สามจบลง ชาวบ้านก็ทนไม่ไหว มัคทายกได้นำชาวบ้านไปพบหลวงตาที่กุฏิแล้วร้องเรียนต่อท่าน
“หลวงตาเทศน์ไม่ได้เรื่องเลย เทศน์ทีไรคนฟังหลับกันเป็นแถว”
หลวงตานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาอย่างเรียบๆ แต่จริงจังขึงขังว่า
“โยมไม่รู้จักของดี พวกโยมหลายคนเผชิญปัญหาชีวิต เกิดความเครียดจนนอนไม่หลับ ต้องเสียเงินเสียทองซื้อยานอนหลับมากิน อาตมาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายหลับอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทอง ยังว่าไม่ดีอีกหรืออ…?”
หลวงตาขึ้นเสียงสูงตอนสุดท้าย
เรื่องทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับนักเทศน์ของศาสนาอื่นเหมือนกัน คือในวันอาทิตย์วันหนึ่ง เมื่อพิธีทางศาสนาเสร็จสิ้นลง ศาสนาจารย์ก็ไปยืนคอยส่งสาธุชนที่กำลังจะกลับบ้านตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา
“ท่านมาเทศน์ทีไร ดิฉันชอบมาก”
หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยปากชมท่านสาธุคุณ ทำเอาท่านยิ้มด้วยความพออกพอใจ แสดงว่าท่านเทศน์ดีเขาจึงชอบใจ
“ขอบคุณมาก คราวหน้าจะเทศน์ให้ดียิ่งขึ้น” ท่านสาธุคุณกล่าว
“ไม่ใช่เทศน์ของท่านนะที่ดิฉันชอบ ดิฉันชอบตรงที่ว่าท่านมาทีไร หาที่นั่งในโบสถ์ได้ง่ายขึ้นต่างหาก”
ปรากฏว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของท่านศาสนาจารย์หายไปเป็นปลิดทิ้ง