มีพ่อเฒ่าอยู่คนหนึ่งหัวล้านมีวัวอยู่ ๒ ตัวที่ต้องการขาย แต่คนที่มาซื้อวัวมักจะเรียกแกว่าเฒ่าหัวล้าน ทำให้แกไม่พอใจและพาลไม่ขายเอาเฉย ๆ อยู่ต่อมามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีความฉลาดในการเจรจาได้เข้าไปขอซื้อวัวด้วยวาทะที่คมคาย
“พ่อผมดกปกไหล่ หน้าไฉไลเฉลิมทอง วัวของพ่อทั้งสองจะขายเท่าไหร่?”
ผู้เฒ่าฟังชายหนุ่มพูดจาถูกใจ จึงกล่าวตอบอย่างพออกพอใจว่า
“ลูกเอ๋ยลูกกู เจ้ามันพูดถูกหู วัวทั้งคู่พ่อยกให้”
หลังจากที่ชายหนุ่มได้วัวแล้วก็จูงกลับบ้าน ในขณะที่เดินทางกลับก็เจอลูกสาวของพ่อเฒ่าที่ตลาด ฝ่ายลูกสาวก็ถามชายหนุ่มว่าเอาวัวมาจากไหน ชายหนุ่มไม่รู้จะบอกบุคลิกอย่างไร ก็เลยบอกว่าพ่อเฒ่าคนที่หัวล้านให้มา
ลูกสาวไม่พอจึงรีบวิ่งไปบอกพ่อ ฝ่ายพ่อเฒ่าก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถือไม้เท้า(ไม้ปฏัก)วิ่งตามไปหวังที่จะไปเอาวัวคืนและตีหัวเจ้าหนุ่มด้วย พอชายหนุ่มเห็นพ่อเฒ่าวิ่งมาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ เขาจึงเตรียมคำพูดไว้รอ
“พ่อผมดกปกหลัง พ่อละล้าละลังจะรีบไปไหน?”
พ่อเฒ่าฟังแล้วหายโกรธทันที แทนที่จะโกรธกลับพูดว่า
“ลูกเอ๋ยลูกรัก พ่อเห็นเจ้าไม่มีไม้ปฏักก็เลยเอามาให้”
หลังจากที่เอาไม้ปฏักไปให้ชายหนุ่มแล้ว ก็กลับบ้านด้วยใบหน้าที่แจ่มใส ลูกสาวไม่เชื่อจึงให้พ่อพาไปพบชายหนุ่ม พอไปถึงชายหนุ่มก็กล่าวว่า
“พ่อผมดกปกเกล้า พ่อจูงมือลูกสาวจะรีบไปไหน?”
พ่อเฒ่าพอใจในคำพูดของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ก็เลยพูดตอบไปว่า
“ลูกเอ๋ยลูกแก้ว พ่อนี้มันแก่แล้วเลยเอาลูกสาวมามอบให้”
ชายหนุ่มจึงได้สมบัติของพ่อเฒ่าที่มีอยู่เกือบทั้งหมดเพราะปากแท้ๆ