วิชาธรรม ชั้นนวกภูมิ
สอบในสนามวัด……….
วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
—————————————
๑. ๑.๑ คนที่ทำอะไรมักพลั้งพลาดกับคนที่ทำอะไรไม่พลั้งพลาด เพราะเหตุไร ?
๑.๒ โลกเดือดร้อนวุ่นวายในปัจจุบันนี้ เพราะขาดธรรมอะไร ?
๒. ๒.๑ บุคคลมี กาย วาจา ใจ งดงามเพราะปฏิบัติธรรมอะไร
๒.๒ กตัญญูบุคคล กับกตเวทีบุคคล หมายถึงใคร ?
๓. ๓. ๑ พระรัตนตรัยแปลว่าอย่างไร ? หมายถึงอะไรบ้าง ?
๓. ๒ รัตนะแต่ละอย่าง ทรงคุณอย่างไร ?
๔. ๔.๑ กุศลมูล กับ อกุศลมูล คืออะไร ? มีเท่าไรบอกมาให้ครบ ?
๔.๒ เมื่ออกุศลมูลและกุศลมูลเกิดขึ้น ควรปฏิบัติอย่างไร ?
๕. ๕.๑ ทุจริต คืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๕.๒ คนที่รับปากกับเขาไว้แล้ว แต่ไม่ทำตามนั้น จัดเข้าในทุจริตข้อไหน ?
๖. ๖,๑ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญเรียกว่าอะไร ? โดยย่อมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
๖.๒ สิ่งที่สัตบุรุษตั้งไว้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
๗. ๗.๑ หลักธรรมสนับสนุนให้หมุนไปสู่ความเจริญดุจล้อรถ ชื่อว่าอะไร ?
๗.๒ จงอธิบายหลักธรรมในข้อ ๔. ๑ นั้นให้เกี่ยวเนื่องกัน ?
๘. ๘.๑ คนที่ทำงานไม่ค่อยสำเร็จผลตามความมุ่งหมาย เพราะขาดคุณธรรมอำไรบ้าง ?
๘.๑ ในคุณธรรมที่ขาดนั้น ข้อ ๑ และข้อ ๓ มีความหมายต่างกันอย่างไร ?
๙. ๙.๑ อะไรเป็นตัวประโยชน์ที่บุคคลพึงเห็นได้ในปัจจุบัน ?
๙.๒ บุคคลจะประสบกับประโยชน์ในปัจจุบันนั้น จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมอะไร ?
๑๐. จะประพฤติอย่างไร จึงจะมีพวกพ้องบริวารมาก ?
เฉลยข้อสอบ วิชาธรรม ชั้นนวกภูมิ
๑. ๑.๑ คนที่ทำอะไรมักพลั้งพลาดเพราะขาดสติความระลึกได้ก่อนแต่จะทำ และขาดสัมปชัญญะความรู้ตัวในขณะทำ ส่วนคนที่ทำอะไรไม่พลั้งพลาดเพราะมีสติ ความระลึกได้ก่อนที่จะทำ และสัมปชัญญะความรู้ตัวในขณะทำ
๑.๒ เพราะขาดธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง คือ ๑ หิริ ความละอายแก่ใจ ๒ โอตตัปปะ ความเกรงกลัว
๒. ๒.๑ เพราะปฏิบัติธรรมอันทำให้งาม ๒ อย่าง คือ ๑ ขันติ ความอดทน ๒ โสรัจจะ ความเสงี่ยม
๒.๒ กตัญญูบุคคล หมาถึงบุคคลผู้รู้อุปการะที่คนอื่นได้ทำแก่ตน กตเวทีบุคคล หมายถึงบุคคลที่ได้กระทำตอบแทนผู้ที่เคยมีอุปการะแก่ตน
๓. ๓.๑ รัตนะ แปลว่า แก้ว หรือของมีค่า ๓ ประการ หมายถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พรสงฆ์
๓.๒ ทรงคุณ คือ พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติมิให้ตกไปในที่ชั่ว พระสงฆ์ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย
๔. ๔.๑ กุศลมูลคือ รากเง่าของกุศล หรือมูลเหตุแห่งความดี มี ๓ อย่าง คือ อโลภะ ไม่อยากได้ ๑ อทสะ ไม่โกรธ ๑ อโมหะ ไม่หลง ๑ อกุศลมูล คือรากเง่าของอกุศล หรือมูลเหตุแห่งความชั่ว มี ๓ อย่างคือ โลภะ อยากได้ ๑ โทสะ ความโกรธ ๑ โมหะ ความหลงหนึ่ง
๔.๒ เมื่อกุศลมูลเกิดขึ้น ควรเจริญหรืออบรมให้ม่มากขึ้น เมื่ออกุ,มูลเกิดขึ้นควรละเสีย
๕. ๕.๑ ทุจริต คือ ประพฤติชั่ว ประพฤติเสียหาย มี ๓ อย่าง คือ ๑ ประพฤติชั่วด้วยกาย เรียกกายทุจริต ๒ ประพฤติชั่วด้วยวาจา เรียกวจีทุจริต ๓ ประพฤติชั่วด้วยใจ เรียก มโนทุจริต
๕.๒ จัดเข้าในวจีทุจริต
๖. ๖.๑ เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ คือ ๑ ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ๒ ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ๓ ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๖.๒ มี ๓ อย่าง คือ ๑ ทาน สละสิ่งของๆ ตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ๒ ปัพพัชชา ถือบวช เป็นอุบายเว้นจากการเบียดเบียนกันและกัน ๓ มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข
๗. ๗.๑ ชื่อว่าจักรธรรม ๔ อย่าง
๗.๒ มีอธิบายดังนี้ ผู้ที่ได้อยู่ในประเทศอันสมควรแล้ว คบหาสัตบุรุษ เป็นเหตุให้ตั้งตนไว้ดีโดยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านและได้อบรมความดีให้สม่ำเสมอตลอดไป ก็ย่อมเข้าถึงความเจริญฝ่ายเดียว
๘. ๘.๑ เพราะขาดอิทธิบาท คือคุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ ประการ คือ ๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น ๒ วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น ๓ จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ ๔ วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น
๘.๒ มีความหมายต่างกันคือ ข้อ ๑ ฉันทะ หมายถึงความสมัครใจ พอใจ เต็มใจในงานที่จะทำหรือกำลังทำ ข้อ ๓ จิตตะ หมายถึงความรักงานเป็นชีวิตจิตใจ ในขณะที่ทำ แม้จะยากลำบากก็ไม่ท้อทอย พิจารณาหาช่องทางจนสำเร็จไปด้วยดี
๙. ๙.๑ มนุษย์สมบัติ มีลาภ มียศ สรรเสริญ เป็นต้น จัดเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน
๙.๒ ต้องปฏิบัติตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถะ ๔ ประการ คือ อุฏฐานสัมปทา ถึงพ้อมด้วยความหมั่นขยัน ๒ อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ๓ กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ๔ สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้
๑๐. ต้องประพฤติตามสังคหวัตถุ ๔ อย่าง ๑ ให้ปันสิ่งของ ๆ ตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน ๒ เจรจาด้วยวาจาที่อ่อนหวาน ๓ ประพฤติสิ่งที่เประโยชน์แก่บุคคลอื่น ๔ ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว ประพฤติได้อย่างนี้ จึงจะมีพวกพ้องบริวารมาก




