ศาสนาเปรียบเทียบ โดย สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร)
อุปนายกสภามหาวิทยาลัย
—————
ศาสนา ใหญ่ๆ ในโลก เช่น พระพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม เป็นต้น ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ ของเหล่าชนผู้ เป็นศาสนิกนั้นๆ และต่อความเจริญความเสื่อมของสังคม และ ชุมชนเป็นอันมากเพราะเหตุนี้ศาสนาจึงเป็น จุดสนใจศึกษาค้นคว้าทั้งของบรรดานักการศาสนา ทั้งนักการศึกษาในวงการอื่นๆ การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสนานั้นได้กระทำติดต่อกันมาช้านานและด้วยวิธีการ ต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่กาลเทศะและสถานการณ์ นั้นๆโดยแตกต่างกันออกไปตามพื้นฐานและความสนใจของตนๆ วิธีการศึกษาค้นคว้า ด้วยวิธีเปรียบเทียบเป็นวิธีหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมมาก และถ้าศึกษากันอย่างละเอียดด้วยวิธีดังกล่าวตามหัวข้อที่มีในหนังสือเล่มนี้ ย่อมจะได้หนังสือเล่มใหญ่อีกหลายเล่ม และย่อมจะใช้เวลาเพื่อการนั้นอีกมากอีกประการหนึ่ง ย่อมไม่เหมาะที่จะนำติดตัวไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกส่วนศาสนาเปรียบเทียบเล่ม นี้ทั้งสั้น(แต่กินความได้มาก)ทั้งเป็นการเพียงพอและเหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยและใคร่จะรู้ในเวลาอันสั้น.
เรื่องศาสนาเปรียบเทียบโดยสังเขป
1. ศาสนา
ศาสนา แปลว่า คำสั่ง คำสอน คำสั่งสอน การปกครองเป็นต้น
2.ความหมายของคำว่าศาสนา
ใน พระพุทธศาสนาหมายถึงคำสอนของท่านผู้รู้อันประกอบด้วยเหตุผลโดยไม่เกี่ยวกับ พระเจ้า ในศาสนาคริสต์ และอิสลามหมายถึงความเชื่อมั่นในพระเจ้าโดยไม่มีการคัดค้าน
3. มูลเหตุให้เกิดศาสนา
โดย ทั่วไป เดิมเกิดจากเหตุคือความกลัว ความไม่รู้จริงในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและความช่างคิดของคน โดยเฉพาะศาสนาพุทธเกิดจากความกรุณาของท่านผู้เป็นศาสดา ศาสนาคริสต์เกิดจากความหวังและความเชื่อมั่นในเรื่องเมไซอะฮ์ คือผู้กอบกู้ฐานะยิวและความสำนึกผิดของศิษย์ศาสนาอิสลามเกิดจากความ เชื่อมั่นและการเมืองคือต้องการรวมชนเผ่าอาหรับให้เป็นชาติเดียวกัน
4. คุณค่าของศาสนา
(1) ทำให้คนปกครองตนเองได้ ทั้งในที่ลับทั้งในที่มีคนอื่นเห็น
(2) ศาสนาเป็นประดิษฐกรรมทางความคิดอันลึกซึ้งของมนุษย์ เป็นศิลปอย่างหนึ่งของชีวิต ซึ่งไม่มีในสัตว์
(3) ทำให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีหลักใจ
(4) ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งศิลปกรรม วรรณกรรม สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม อารยธรรม ขนบ ประเพณี เนติธรรม สหธรรม เป็นต้น
(5) ศาสนาทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มิใช่เป็นหุ่นหรือเครื่องจักร
5. ประเภท
ศาสนา มีหลายประเภทคือมีพระเจ้าผู้สร้าง เช่นศาสนาคริสต์ มีพระยโฮวาเป็นพระเจ้า ศาสนาอิสลามมีพระอัลเลาะฮ์เป็นพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าสร้างเช่นศาสนาพุทธ ศาสนาเชน ศาสนาในชาติเช่นศาสนาพราหมณ์ ชินโต เต๋า และศาสนาในโลก เช่นศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม เหล่านี้เป็นต้น
6. คำแปล
พระ พุทธศาสนา แปลว่าคำสอนของท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานผู้ปลุกให้ตื่น คริสต์ศาสนาแปลว่าคำสอนของผู้ไถ่บาป ศาสนาอิสลามแปลว่าคำสอนของท่านผู้ภักดี ผู้ทรยศ (ต่อลัทธิเดิม) คำสอนเพื่อสันติ บริสุทธิ์และเสียสละเพื่อพระเจ้า
7. ลักษณะ
พระพุทธศาสนามีลักษณะคือขึ้นอยู่กับเหตุผลเป็นหลักสำคัญ คริสต์ศาสนาและอิสลามมีลักษณะคือขึ้นอยู่กับศรัทธาเป็นหลักสำคัญ
8. คำนมัสการ
คำ นมัสการ ในพระพุทธศาสนาคือ นโม ตัสส ฯ เป ฯ ในคริสต์ศาสนาไม่มีคำขึ้นต้น มีแต่คำลงท้ายว่าอาเมน หมายความว่า ด้วยบุญกุศลนี้จงบันดาลให้พระเจ้าสถิตอยู่กับข้าพเจ้าทุกเมื่อ สาธุ ในศาสนาอิสลามคือลาอิลาฮา อิลลัลลาฮ์ โมฮัมหมัด ร่อซูลลัลลาฮ์ แปลว่าไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระอัลเลาะฮ์ พระโมฮัมหมัด เป็นร่อซูลของพระอัลเลาะฮ์
9. พระศาสดา
พระพุทธศาสนามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา คริสต์ศาสนามีพระเยซูเป็นศาสดา ศาสนาอิสลามมีพระนะบีโมฮัมหมัดเป็นศาสดา
10. ฐานะของพระศาสดา
พระ พุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมโดยอบด้วยพระองค์เอง และทรงสอนผู้อื่นให้รู้อย่างผู้รู้แจ้งมาก่อน และไม่มีกิเลสคือความรัก โลภ โกรธ หลง ริษยา ใฝ่สูง พระเยซู กล่าวกันว่าเป็นโอรสของพระเจ้า มีความรัก โลภ โกรธ หลง พระโมฮัมหมัด เป็นผู้แทนพระเจ้า มีความรัก โลภ โกรธ หลง…
11.แหล่งกำเนิด
ของ พระพุทธศาสนาคือประเทศอินเดียตอนตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นแหล่งอุดม ของศาสนาคริสต์คือปาเลสไตน์ อันเป็นแนทะเลทราย ของศาสนาอิสลามคืออาหรับอันเป็นแดนทะเลทราย
12. ประวัติศาสดา
พระพุทธเจ้า ฐานะเดิมเป็นโอรสของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นรัชทายาท ซึ่งสืบราชสมบัติต่อๆมาหลายร้อยชั่วกษัตริย์ พระบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาทรงพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ทรงมีความสุขสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรงมีการศึกษาอย่างดี มีพระชายา มีพระโอรส แวดล้อมด้วยพระญาติ แต่พระองค์ทรงสละสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด แม้แต่ตำแหน่งรัชทายาท เสด็จออกผนวช แสวงหาโมกขธรรม ด้วยพระมหากรุณาปรารถนาจะช่วยให้ประชาชนพ้นจากทุกข์โดยพ้นจากกิเลสเป็นต้น สิ้นเวลา 6 ปี ด้วยทรงพยายามปฏิบัติธรรมจนเกือบสิ้นพระชนม์ ในที่สุด จึงประสบโมกขธรรมด้วยพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็พยายามสั่งสอนผู้อื่นโดยมิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ทั้งๆที่ทรงเป็นกษัตริย์ผู้สุขุมาลชาติมาก่อน เพื่อให้ประชาชนรู้ธรรมแล้วปฏิบัติ ก็จะพ้นจากทุกข์ เพราะกิเลส กิเลสเป็นเหตุให้คนเป็นทุกข์ ทรงเผยแผ่ธรรมอยู่ 45 ปี อุปสรรคต่างๆ เช่น เกิดจากศัตรูเป็นต้น ย่อมพ้นไปหมด มีคนนับถือทุกชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้น คือความจริงอย่างประเสริฐ (อริยสัจ) พระสาวกของพระองค์มีมาก พร้อมเสมอที่จะสละชีวิตเพื่อพระองค์ เช่นคราวที่ทรงทรมานช้างนาฬาคิรี เป็นต้น พระองค์มีพระชนม์ 80 ปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพานในท่ามกลางบรรพชิตและฆราวาสทุกชั้น ในท่ามกลางความเสียดายอาลัย พระพุทธสรีระ ได้รับการถวายพระเพลิงอย่างพระเจ้าจักรพรรดิ พระบรมสารีริกธาตุกษัตริย์ ต่างๆ เกือบทำสงครามแย่งกันเพื่อนำไปบูชา
พระเยซู พระมารดาทรงพระนามว่ามาเรีย พระบิดาเลี้ยงชื่อโจเซฟ นัยว่าท่านเป็นโอรสของพระเจ้า ที่โปรดมาเรียให้มีครรภ์ขึ้น โดยเดชของพระเจ้า พระเยซูประสูติที่คอกสัตว์แห่งหนึ่งที่เมืองเบธเลเฮ็ม (เดี๋ยวนี้คือเมืองปาเลสไตน์) มณฑลยูดาย เมื่อ พ.ศ. 543 (หลังพระพุทธเจ้าประสุติ 623 ปี) ตอนเกิดนั้นทำให้เด็กเป็นอันมากถูกฆ่า เพราะมีข่าวลือว่าจะมีเด็กมาแย่งความเป็นใหญ่ กษัตริย์เฮโรดในครั้งนั้น จึงสั่งให้ฆ่าเด็ก โจเซฟจึงได้พาครอบครัวหนีไปอียิปต์จนเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว จึงกลับมาอยู่เมืองนาซาเรซ มีอาชีพช่างไม้ พระเยซูได้เป็นช่างไม้ช่วยบิดาเลี้ยง ท่านเป็นคนฉลาด ช่างสังเกต ช่างคิดสามารถ โต้ตอบ ปัญหาได้คล่องแคล่ว แต่ยากจน ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนศึกษาตามควร เมื่อพระชนม์ได้ 30 ปี ได้เสด็จไปสู่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับศีลจากนักบุญโยอัน พอขึ้นจากแม่น้ำ พระเจ้าได้มาสถิตย์อยู่บนพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงดังว่า เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก แล้วพระเจ้าได้นำพระเยซูไปให้ซาตานทดลอง พระองค์ทรงอดอาหาร 40 วัน ทรงหิวจัด ซาตานจึงพูดว่า ถ้าท่านเป็นโอรสของพระเจ้าจริง ท่านจงสั่งก้อนหินให้เป็นอาหาร พระเยซูตอบว่า คนจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ด้วยโอวาทของพระเจ้าด้วย และซาตานได้นำพระเยซูไปยังเมืองบริสุทธิ์ ให้อยู่บนหลังคาโบสถ์แล้วพูดว่า ถ้าท่านเป็นโอรสของพระเจ้าจริง ท่านจงกระโดดลงมา เพราะพระเจ้าได้สั่งให้เทวทูตให้คอยรักษาท่าน พระเยซูตอบว่า อย่าทดลองพระเจ้าของตน ซาตานจึงได้นำพระเยซูขึ้นไปบนภูเขาสูง ให้พระองค์เห็นประเทศต่างๆ แล้วพูดว่า ถ้าท่านไหว้เรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงนี้แก่ท่าน พระเยซูเลยไล่ซาตานไป และตรัสว่า จงกราบไหว้พระเจ้าของตน จงปฏิบัติพระองค์ผู้เดียว เมื่อซาตานหนีไปแล้ว เทวทูตก็มาห้อมล้อม พระองค์ก็สำเร็จเป็นผู้รู้ด้วยประการฉะนี้ พระองค์เริ่มสอนประชาชนด้วยคำว่า จงกลับใจเสียใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว
พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนได้ 3 ปี ได้สาวกไม่เกิน 50 คน คนทั่วไปนิยมความเป็นหมอที่ทรงใช้เป็นเครื่องมือในการสั่งสอนมากกว่าคำสอน พระองค์เชื่อในเรื่องเมไซอะฮ์ และประชาชนเห็นความสามารถในการรักษาคนไข้ได้อย่างน่าประหลาด จึงพากันพูดว่า ท่านคงเป็นเมไซอะฮ์และเป็นโอรสของพระเจ้าแน่ ข้อนี้ จึงเป็นเหตุให้พระองค์เข้าใจว่าพระองค์เป็นอย่างนั้น
การเผยแผ่ได้ผลน้อยแต่มีศัตรูมาก เพราะพูดโจมตีคนเก่าเป็นต้น ในที่สุด ได้ถูกศิษย์ทรยศรับจ้างศัตรูเพื่อจับพระเยซูไปประหารชีวิตด้วยวิธีที่เหี้ยม โหดและเหยียดหยามอย่างโจร คือตรึงไม้กางเขนร่วมกับพวกโจร ก่อนสิ้นใจ พระองค์อ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยแต่ไม่สำเร็จ จนท่านทรงทอดอาลัยและสิ้นพระชนม์ 3 วันต่อมาได้ฟื้นแล้ว ได้ขึ้นสวรรค ์เมื่อพระเยซูถูกจับนั้น สาวกหนีกันหมด แต่เมื่อพระเยซูสิ้นแล้วสาวกกลับได้คิดยอมสละชีวิตประกาศคำสอนของพระเยซูจน ถูกจับส่งไปกรุงโรม (ตอนนั้น ปาเสไตน์เป็นเมืองขึ้นของกรุงโรม) พระเจ้าแผ่นดินแห่งโรมตัดสินว่า ไม่ผิด สาวกเหล่านั้นเลยได้โอกาสเผยแพร่คำสอนเป็นการใหญ่ จนแพร่หลายกลายเป็นศาสนา
พระโมฮัมหมัด มีพระบิดาชื่อว่า อับดุลเลาะฮ์ มีพระมารดาชื่อ อามีนะ ในตระกูลโกเรซซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ แต่พระบิดา-มารดาของพระโมฮัมหมัดยากจนมาก ก่อนพระองค์ประสูติ พระบิดาสิ้นชีพ ท่านได้อุบัติขึ้นเมื่อ พ.ศ.1113 (หลังพระพุทธเจ้าประสูติ 1193 ปี) ที่เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ต่อมา พระมารดาสิ้นชีพ จึงได้ไปอยู่กับปู่ ปู่ก็สิ้นชีพอีก จึงไปอยู่กับอาได้รับความลำบากมาก หนังสือก็ไม่ได้เรียน ถูกพี่น้องรังแกอย่างแสนสาหัส อาจึงพาไปค้าขายยังต่างเมืองและต่างประเทศ ทำให้ท่านได้รู้ได้เห็นมาก ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงหม้ายชื่อ คดียะ จึงทำให้ท่านมีฐานะดีขึ้น ท่านเป็นคนฉลาด ช่างสังเกต มีบุคลิกภาพดีมาก
ในวันหนึ่ง ท่านได้ไปบำเพ็ญทางจิต คือหาความจริงที่ถ้ำที่เขาฮิรา ได้มีเทวทูตของพระอัลเลาะฮ์คลี่หนังสือให้ท่านอ่าน แล้วบอกว่าอ่านเถิด ท่านอ่านไม่ออก จนเทวทูตบอกท่านเป็นครั้งที่ 3 ท่านจึงอ่านออก ต่อมาเทวทูตได้มาปรากฏแก่ท่านบอกท่านว่า ให้กล่าวในนามของพระเจ้า ท่านจึงแน่ใจว่าท่านเป็นร่อซูล หรือ นะบี คือผู้แทนของพระเจ้า ขณะนั้น ท่านอายุได้ 40 ปี สาวกองค์แรกของท่านคือภรรยาของท่านเอง ท่านทำการสอนประชาชนซึ่งทำให้ไม่มีผู้พอใจ หาว่าอยากใหญ่โต ถึงกับเกิดฆ่ากัน ผู้ที่เป็นศัตรูก็คือญาติของท่านเอง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในเมืองมักกะฮ์ เป็นผู้รักษาวิหารกาบะอันศักดิ์สิทธิ์ (ในวิหารกาบะมีหินดำรูปสี่เหลี่ยมสูง) ในครั้งนั้นมีรูปเคารพถึง 360 รูป ซึ่งพวกอาหรับนำมาตั้งบูชาไว้ และต่างก็ว่าของตนดีวิเศษกว่าของคนอื่น ซึ่งแปลว่าคนอาหรับต้องแยกกันอย่างน้อย 360 ก๊ก พระโมฮัมหมัดต้องการให้ทำลายรูปเคารพเหล่านั้น เหลือไว้แต่หินกาบะอันเป็นของเก่าแต่อย่างเดียว ซึ่งเท่ากับรวมคนให้เป็นหนึ่งใจเดียวกันจะได้เป็นชาติอาหรับเหมือนชาติอื่นๆ ที่ท่านได้เห็นมา เช่นซีเรีย เป็นต้น เมื่อมีเรื่องรุนแรงท่านจึงหนีไปเมืองมาดีนะฮ์ไปตั้งตัวที่นั่น ปีที่ท่านหนีไปจึงถือว่าเป็นปีสำคัญ เป็นการเริ่มศักราชแห่งศาสนานี้ เรียกกว่า "อิสลาม" แปลว่าภักดี สันติสุข บริสุทธิ์ และสละเพื่อพระอัลเลาะฮ์ คนที่นับถือศาสนานี้ เรียกว่า"มุสลิม" ศักราชเรียกว่า "ฮิจเลาะฮ์" (เหาะ อพยพหนี) ครั้งนั้น ท่านอายุได้ 52 ปี ต่อมาได้ยกทัพมาตีเมืองมักกะฮ์ชนะ ได้ทำลายรูปเคารพหมดเหลือไว้แต่หินกาบะ ท่านได้เป็นทั้งศาสดา ทั้งกษัตริย์ปกครองอาหรับ ทำให้พวกอาหรับรวมกันเป็นชาติ ท่านได้สิ้นชีพเมื่ออายุ 62 ปี เพราะเป็นไข้เนื่องจากถูกยาพิษ (ประวัติพระศาสดาขอให้พิจารณาในด้านชาติกำเนิด การศึกษา ความเป็นอยู่ การสำเร็จเป็นผู้รู้ การเผยแผ่ อุปสรรค ผลงาน การสิ้นชีวิต สาวก ฯลฯ เปรียบเทียบซึ่งกันและกันด้วย)
13. สิ่งเคารพสูงสุด
ในพระพุทธศาสนาคือพระรัตนตรัย ในศาสนาคริสต์คือไตรเอกานุภาพได้แก่พระบิดา พระบุตร พระจิต ในศาสนาอิสลามคือพระเจ้า พระนะบี คัมภีร์กุระอาน
14. นิกายใหญ่ๆ ของศาสนา
ในพระพุทธศาสนามีทักษิณนิกาย และอุตรนิกาย หรือเถรวาทกับอาจริยวาท หรือหินยานกับมหายานแต่เรียกกันในขณะนี้โดยมีการตกลงกันแล้วว่า เถรวาทกับมหายาน ในคริสต์ศาสนา มีคาธอลิกกับโปแตสแตนท์ ในศาสนาอิสลามมีสุหนี่กับชิเอชหรือมะหง่น นอกจากนี้ยังมีนิกายย่อยอีกมาก
15. ศักราช
ในพระพุทธศาสนา เริ่มแต่ปีพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เรียกว่า "พุทธศักราช" ในคริสต์ศาสนา เริ่มแต่พระเยซูเกิด เริ่มภายหลัง พ.ศ. 543 เรียกว่า "คริสต์ศักราช" ในศาสนาอิสลามเริ่มแต่พระโมฮัมหมัด หนีจากเมืองมักกะฮ์ไปเมืองมาดีนะฮ์เรียกว่าฮิจเลาะฮ์ศักราช เริ่มภายหลัง พ.ศ. 1165
16. คำสอนโดยย่อ
-ในพระพุทธศาสนา คือ
(1) ละชั่วทั้งสิ้น
(2) ทำความดีให้บริบูรณ์
(3) ทำใจให้บริสุทธิ์
-ในศาสนาคริสต์ คือ
(1) จงรักพระเจ้าสุดใจ และด้วยหมดความคิดของเจ้า
(2) จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
-ในศาสนาอิสลาม คือ
(1) อีมานคือศรัทธา ได้แก่ความเชื่อ
1. เชื่อในความมีของพระอัลเลาะฮ์
2. เชื่อในเทวทูตของพระอัลเลาะฮ์
3. เชื่อในคัมภีร์กุระอานของพระอัลเลาะฮ์
4. เชื่อในนะบีหรือร่อซูลของพระอัลเลาะฮ์
5. เชื่อในวันสิ้นโลก
6. เชื่อในการสร้างสรรค์ทุกสิ่งของพระอัลเลาะฮ์
(2) อมัลคือการปฏิบัติได้แก่
1. ละหมาด (อัด เสาะลาต) คือไหว้พระอัลเลาะฮ์วันละ 5 ครั้ง
2. ชะกาต คือการให้ทาน
3. ถือศีลอดอาหาร 1 เดือน (อดเฉพาะกลางวัน)
4. เดินทางไปประกอบพิธีฮัจยีที่นครมักกะฮ์
17. ระดับแห่งคำสอน
ระดับแห่งคำสอน ของพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 3 ชั้นคือ อย่างพื้นฐานเพื่อความสุขแห่งชีวิตในโลกนี้ อย่างกลางเพื่อความสุขในปรโลกและอย่างสูงเพื่อความหลุดพ้นจากโลก จากชาติภพสังสารวัฏของคริสต์และอิสลามแบ่งออกเป็น 2 ชั้นคืออย่างพื้นฐานเพื่อความสุขในโลกนี้ อย่างสูงเพื่อความสุข ในสวรรค์ร่วมกับพระเจ้า
18. จุดหมายสูงสุด
ของ พระพุทธศาสนาคือความพ้นทุกข์ ของคริสต์ศาสนาคืออยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์ ของศาสนาอิสลามคืออยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์
19. วิธีสอน
พระ พุทธเจ้าสอนให้รู้ให้เข้าใจ มีหลักฐานสมเหตุสมผล ให้รู้ก่อนแล้วจึงเชื่อ ส่วนพระเยซูและพระโมฮัมหมัดสอนให้เชื่อก่อนแล้วจึงรู้
20. การทำความดี
ในพระพุทธศาสนาคือทำความดีเพื่อความดี ในศาสนาคริสต์และอิสลามคือทำความดีเพื่อพระเจ้า…
21. ผู้สร้าง
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า (กิเลส กรรม วิบาก) เป็นผู้สร้างสัตว์ สรรพสิ่งนอกนั้นเกิดจากการประกอบกันของสิ่งต่างๆ ตามธรรมชาติบ้าง จากการกระทำของคนของสัตว์บ้าง ในศาสนาคริสต์ แสดงว่าพระเจ้าคือพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง ในศาสนาอิสลามแสดงว่าพระเจ้าคือพระอัลเลาะฮ์ เป็นผู้สร้างทุกอย่าง
22. คัมภีร์
ในพระพุทธศาสนาใช้พระไตรปิฎกในศาสนาคริสต์ใช้คัมภีร์ไบเบิลในศาสนาอิสลามใช้คัมภีร์กุระอาน
23. การฆ่า
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าการฆ่าคนฆ่าสัตว์โดยมีเจตนาเป็นความชั่วทั้งสิ้น แม้ว่าจะฆ่าเพื่อพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญส่วนในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่าการฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ถ้าเป็นฆ่าเพื่อพระเจ้าย่อมเป็นความดี ความชอบการฆ่าสัตว์เป็นอาหารและป้องกันตัวฆ่าสัตว์ที่ตนเห็นว่าเป็น สัตว์ร้ายเป็นการไม่ผิด ฆ่านอกนั้นจึงเป็นการผิด
24. การลัก
ใน พระพุทธศาสนาแสดงว่า การลักทุกชนิดเป็นความชั่ว ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่า การลักเพื่อพระเจ้าและเพื่อพระศาสนาเป็นความดี ลักเพื่อเหตุนอกนั้นเป็นความชั่ว
25. การชู้สาว
ในพระพุทธศาสนา คริสต์ อิสลามแสดงว่าเป็นความชั่วทั้งสิ้น
26. การพูดปด
ใน พระพุทธศาสนาแสดงว่าการพูดปดทุกอย่างเป็นความชั่ว ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่า ถ้าพูดปดเพื่อพระเจ้าและพระศาสดาแล้วเป็นความดี พูดปดเพื่อเหตุนอกนั้นเป็นความชั่ว
27. ที่พึ่ง
ในพระพุทธศาสนาให้พึ่งตนเอง โดยอาศัยธรรม ในศาสนาคริสต์สอนให้พึ่งพระเจ้า แม้จะสอนว่าจงช่วยตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน ก็สรุปลงที่ให้พึ่งพระเจ้า ในศาสนาอิสลามสอนให้พึ่งพระเจ้า
28. การดื่มเหล้า
ในพระพุทธศาสนา คริสต์ อิสลาม แสดงว่าเป็นความชั่วทั้งสิ้น
29. เสรีภาพในการถือศาสนา
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ใครจะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่แล้วแต่ศรัทธา ไม่มีการบังคับ ไม่มีการนำสวรรค์เข้ามาล่อ นำนรกเข้ามาขู่ ในศาสนาคริสต์แสดงว่าถ้าใครไม่นับถือศาสนา คริสต์ ตายไปต้องถูกพิพากษาให้ตกนรกตลอดกาลคนจะขึ้นสวรรค์ได้ต้องนับถือศาสนาคริสต์ มีการบังคับ ในการนับถือศาสนา ในศาสนาอิสลามแสดงว่าใครไม่นับถือศาสนาอิสลามตายไปต้องถูกพิพากษา ให้ตกนรกตลอดกาล คนจะขึ้นสวรรค์ได้ต้องนับถือศาสนาอิสลาม มีการบังคับในการนับถือศาสนา
30. การเกิดการตาย
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าคนตายแล้วถ้ามีเหตุคือกิเลสอยู่ต้องเกิด แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นแล้วแต่เหตุคือความดี ความชั่วที่ทำเอาไว้ และจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนั้น จนกว่า จะหมดเหตุคือกิเลส คราวนี้ตายแล้ว กิเลสจะหมดสิ้นก็เพราะอาศัยเหตุคือการปฏิบัติธรรม ในศาสนาคริสต์ แสดงว่าคนเกิดก็เพราะพระเจ้าให้เกิด เมื่อตายแล้ว เฉพาะคนนับถือคริสต์ศาสนาเขาจะ นำศพไปฝังไว้ ที่ หลุมฝังศพ วิญญาณจะวนเวียนอยู่ที่นั่น คอยอยู่จนกว่าจะถึงวันพิพากษาเมื่อถึงวันนั้นศพทุกศพจะลุกจาก ที่ฝังเดินข้ามสะพานไปสู่ประตูสวรรค์ ถ้าเป็นคนนับถือศาสนาอื่น หรือเป็นคนคริสต์แต่ทำบาปมากจะ ข้ามสะพาน นั้นไม่ได้ ต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกาลไม่มีวันหลุดพ้นได้ ถัาเป็นคนมีบาปไม่หนักจะได้รับการให้ข้ามสะพานอีก หรือให้ไฟนรกเผาจนพอแล้วก็ขึ้นสวรรค์ได้ ในศาสนาอิสลามก็เช่นเดียวกันกับ ศาสนาคริสต์ ต่างกันแต่ว่าสะพานพิพากษาของอิสลาม คนมุสลิมย่อมข้ามไปสู่ประตูสวรรค์ได้ แต่คนนับถือ ศาสนาอื่นหรือคนมุสลิมที่มีบาปมากย่อมข้ามไม่ได้ ต้องตกลงไปสู่นรกหมกไหม้อยู่ตลอดกาลไม่มีวัน หลุดพ้น รวมความว่าในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามถือว่าเกิดเป็นคนชาติเดียว ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด..
31. ความดีความชั่ว
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าคนเป็นผู้รับผิดชอบในการกระทำของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ความดีความชั่ว ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่าความดี พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้คนทำ ผลแห่งความดี พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้เอง แต่ความชั่วเป็นเรื่องของคนที่จะต้องรับผิดชอบเอง (ค้านกับข้อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง)
32. เทพเจ้า
ใน พระพุทธศาสนาแสดงว่าเทพเจ้านั้นคือผู้เป็นตัวอย่างของผู้ได้รับผลของการทำดี อย่างสูงมิใช่เทพเจ้าเป็นผู้สร้างทุกอย่าง และมีมากองค์แบ่งเป็น 3 ประเภทคืออุบัติเทพ สมมติเทพ วิสุทธิเทพ อุบัติเทพคือเทพเจ้าในสวรรค์หรือวิมานนั้นๆ เป็นอทิสสมานกายคือไม่เห็นตัว ไม่เหมือนสมมติเทพ คือกษัตริย์ หรือคน ชั้นสูง วิสุทธิเทพคือคนที่ไม่มีกิเลสเป็นเทพที่วิเศษที่สุดสูงกว่าเทพชนิดอื่น แม้แต่อุบัติเทพก็ต้องนับถือ วิสุทธิเทพนี้ ข้อนี้แสดงว่าในศาสนานี้ถือว่า
(1) คนมีโอกาสเป็นเทพเจ้าได้ทั้งเป็น โดยมิต้องรอให้ตายก่อนแล้ว จึงไปเกิดเป็น
(2) เทพเจ้าบนสวรรค์มิใช่วิเศษเสมอไป ยังสู้คนบางประเภทไม่ได้
(3) เป็นศาสนาที่ถือความดี เป็นสำคัญ
ในศาสนาคริสต์และอิสลาม ตามคัมภีร์แสดงว่ามีเทพเจ้า 2 ประเภทคือ เทพเจ้าผู้สร้างกับเทพบริวาร เทพเจ้า ผู้สร้างต้องมีองค์เดียว ของศาสนาคริสต์ทรงพระนามว่า พระยะโฮวา ของศาสนาอิสลามทรงพระนามว่า พระอัลเลาะฮ์ มีบริวารหลายองค์ เทพเจ้าทั้ง 2 นี้ ไม่ปรากฏร่างกายแทรกซึมอยู่ในที่ทุกแห่ง แม้แต่ในเม็ดทราย ทุกเม็ด และในตัวเรา เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง มีฤทธิ์ที่สุด มีความเตตาที่สุด มีความยุติธรรมที่สุดมีกิเลสเช่นรัก โกรธ ริษยา หลง เหมือนคน แต่คนไม่มีทางที่จะดีกว่าเทพเจ้าใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเกรงกลัวและภักดีต่อพระเจ้าตลอดไป จะสงสัยไม่ได้
33. ตัวตน
ในพระพุทธศาสนาแสดงหลักธรรมชั้นสูงว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตน หรือเรา ของเราและแสดงว่าการเลิกยึดถือว่าเรา ว่าของเรา ได้เด็ดขาดนั่นเป็นบรมสุข ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่ามีตัวตน ไม่มีการสอนให้เลิกยึดถือว่าเรา ของเรา
34. ความกลัว
ในพระพุทธศาสนาสอนให้กลัวต่อความชั่ว ต่อสังสารวัฏ และสอนให้กล้าหาญในการทำความดี กล้าในการที่จะหาทางหยุดสังสารวัฏของตน ในศาสนาคริสต์และอิสลามสอนให้กลัวพระเจ้า
35. ความเชื่อ
ในพระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อ ถ้าจะเชื่อก็ต้องเชื่อโดยใช้วิจารณปัญญาก่อน เมื่อเห็นว่าควรเชื่อจึงเชื่อเห็นว่าไม่ควรเชื่อก็อย่าเชื่อ กล่าวคือให้รู้ก่อนจึงเชื่อ และไม่มีการบังคับ ไม่มีการลงโทษ เช่น ให้ตกนรก ให้ได้รับความทุกข์ยากสำหรับผู้ไม่เชื่อพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนาที่ใดมีการสอน เรื่องความเชื่อ ที่นั่นต้องมีการสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาข้อเท็จจริงกำกับด้วยทุกแห่ง
อีกประการหนึ่ง พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่อด้วยลักษณะดังข้อความในกาลามสูตรต่อไปนี้
อย่าเพึ่งเชื่อโดยได้ฟังตามกันมา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยสืบต่อกันมา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยตื่นตามเขา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยเดาเอาเอง
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเน
อย่าเพิ่งเชื่อโfโยตรึกเองตามอาการที่เห็น
อย่าเพิ่งเชื่อโดยชอบใจว่าตรงกับลัทธิของตน
อย่าเพิ่งเชื่อโดยเห็นว่าผู้พูดควรเชื่อถือได้ และ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของตน
แต่ทรงสอนให้เชื่อความจริงที่ตนพบแล้ว ในศาสนาคริสต์และอิสลามสอนให้เชื่อพระเจ้า ให้เชื่อก่อนโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง ถือว่าเมื่อเชื่อก่อนแล้วก็รู้เอง ความเชื่อพระเจ้าเป็นหัวใจของศาสนาทั้งสองนี้ ดังนั้นถ้าใครไม่เชื่อ จึงบังคับให้เชื่อ ใครสงสัยก็ไม่ได้ต้องตกนรก
36. การศึกษา
ในพระพุทธศาสนาส่งเสริมการศึกษา เพราะการศึกษาทำให้เกิดความรู้ ให้เกิดประโยชน์ แก่ตนและผู้อื่น ทำให้ตนเองและผู้อื่นฉลาด พระพุทธเจ้าทรงยกย่องความเป็นผู้มีความรู้ว่าเป็นมงคลอันสูงสุด เช่นเวสารัชชกรณธรรมเป็นต้น และไม่จำเป็นต้องศึกษาเพื่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น จะศึกษาเพื่อพระองค์ หรือไม่ก็ได้ ในศาสนาคริสต์และอิสลามก็ส่งเสริมการศึกษามาก เช่นตั้งโรงเรียนเป็นต้น แต่ต้องมีความภักดี อย่างมั่นคง ต่อพระเจ้าคือทำเพื่อประชาชนและมีผลให้พระเจ้าโปรด
37. อิสรภาพ
พระพุทธเจ้าสอนให้ทำตนให้เป็นอิสระจากเครื่องผูกมัดคือกิเลส ไม่ให้เป็นทาสของสิ่งอื่น ไม่ให้เป็นทาสของเทวดาและของความกลัว พระเยซู พระโมฮัมหมัด สอนให้เป็นทาสของพระเจ้า
38. การบำเพ็ญประโยชน์
พระพุทธเจ้าตลอดเวลา 45 ปี ได้เสด็จไปตามเมืองน้อยใหญ่เพื่อสั่งสอนคือโปรยธรรมให้แก่ประชาชน ใครประพฤติตามธรรมก็มีความสุขพระองค์ไม่ทรงหวังผลตอบแทน ไม่ต้องการลาภยศ ชื่อเสียง ถ้าหวังก็ไม่จำเป็นต้องสละราชสมบัติออกบวช การบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธองค์จึงมีลักษณะที่บริสุทธิ์ที่สุด มีแต่ให้ไม่มีการหวังผลตอบแทน ส่วนพระเยซูและพระโมฮัมหมัดทรงหวังผลตอบแทนเป็นสิ่งต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ เป็นต้น และไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์
39. ความสามัคคี
ทุกศาสนาสอนให้มีความสามัคคีตั้งแต่ระดับครอบครัว พี่น้องจนถึงประเทศชาติ
40. ปาฏิหาริย์
ทุก ศาสนามีเรื่องปาฏิหาริย์ ในพระพุทธศาสนามี 3 ปาฏิหาริย์คืออิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์โดยดักความคิดหรือดักใจ อนุสาสนีปาฏฺหาริย์ ปาฏิหาริย์โดยการแสดงธรรมสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เพราะทำให้รู้ความจริงของทุกสิ่ง ทำให้พ้นความติดความยึดถือ คือพ้นกิเลส ชนะตัวเองในพระพุทธศาสนา ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ก็อยู่ได้..
41. ความชนะ
ในพระพุทธศาสนาสอนให้ชนะใจตนเองประเสริฐที่สุด ในศาสนาคริสต์และอิสลามสอนให้ชนะคนอื่นเป็นต้นเพื่อพระเจ้า
42. สันติภาพ
ในพระพุทธศาสนาสอนให้มีเมตตาต่อกันทั้งคนทั้งสัตว์แล้วจะเกิดสันติภาพทั่วไป ในศาสนคริสต์และอิสลามนั้นจะทำอะไรต้องเพื่อพระเจ้าเป็นหลัก
43. ปาฏิหาริย์
เป็นสิ่งไม่จำเป็นในพระพุทธศาสนาแม้นำเรื่องปาฏิหาริย์ออกจากพระพุทธศาสนาก็ ไม่เป็นไร เพราะเป็นศาสนามีเหตุผลเป็นหลัก จะเห็นได้ในพระไตรปิฎกและในนวโกวาท แต่จำเป็นสำหรับศาสนาคริสต์และอิสลามเพราะเป็นศาสนาที่มีความเชื่อเป็นหลัก
44. พิธีกรรม
ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องมีพิธีกรรมก็ตั้งอยู่ได้ แต่ศาสนาอื่นต้องมีพิธีกรรมเพื่อความศรัทธา
45. ความสำเร็จ
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าต้องปฏิบัติธรรมคืออิทธิบาท คือความพอใจ ความขยัน ความจริงใจสนใจ ความทดสอบทดลองค้นคว้า ในศาสนาคริสต์และอิสลามนั้นอยู่ที่ความประสงค์
ของพระเจ้า
46. ความสุข-ความทุกข์
เรื่องนี้ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าอยู่ที่การกระทำ การพูด การคิด ของมนุษย์ ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่าแล้วแต่พระเจ้า
47. โลกธรรม
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่าโลกธรรมคือเรื่องได้ไม่ได้ นินทา สรรเสริญ เป็นต้น เป็นเรื่องธรรมดาเกิดแก่ทุกคน แต่มันเปลี่ยนแปรไปเสมอ บางคนเฉยๆไม่ตื่นเต้น แต่บางคนเต้นไปตามมัน จึงเป้นทุกข์ เมื่อสิ่งที่ตนชอบแปรไป ควรระวังใจไม่ให้ตกเป็นทาสของมัน เรื่องนี้ในศาสนาคริสต์และอิสลามถือว่าเป็นเรื่องของพระเจ้า
48. เกิดแก่ เจ็บ ตาย
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ความแก่ เจ็บ ตาย มาจากเกิด ความเกิดมีเพราะกิเลสเป็นผู้สร้าง ในศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
49.จิตใจ
ในพระพุทธศาสนาแสดงว่า ใจสำคัญเป็นตัวนำ ควบคุมใจได้ย่อมเป็นสุข ศาสนาคริสต์และอิสลามแสดงว่าความสำคัญอยู่ที่พระเจ้า
50. ความบริสุทธิ์
ในพระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักกิเลส โทษของกิเลส ความบริสุทธิ์จากกิเลส ในศาสนาคริสต์และอิสลามไม่มีสอนอย่างนี้
51. สมาธิ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเยซู พระโมฮัมหมัด ต่างปฏิบัติสมาธิกิจทุกพระองค์
52. การรู้วันสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกำหนดวันปรินิพพานว่า อีก 3 เดือนต่อไปจะปรินิพพาน
พระเยซู ทรงทราบล่วงหน้าว่าอีก 2 วัน พระองค์จะถูกจับไปลงโทษ
พระโมฮัมหมัด ในพระประวัติไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้
53. ปัจฉิมพจน์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสปัจฉิมพจน์ (การพูดครั้งสุดท้ายแล้วหยุดพูด) ว่า "ภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอบอกเธอทั้งหลายว่า สังขาร(สิ่ง) ทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงให้สิ่งที่ดี (กุศลธรรม) สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด"
พระเยซู ตรัสปัจฉิมพจน์ว่า "ทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว"
พระ โมฮัมหมัด ตรัสปัจฉิมพจน์ (ยาวมาก)ว่า "มุสลีมิน ข้าพเจ้าทำผิดต่อใครในพวกท่าน ข้าพเจ้าอยู่นี่พร้อมที่จะให้คำตอบที่แจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ข้าพเจ้าเป็นหนี้ใคร ข้าพเจ้ายินดีใช้คืนให้ เป็นต้น ฯลฯ" จบด้วยทรงฝากศาสนาแก่สาวกทั้งหลาย
54. ผู้นับถือศาสนาจะได้อะไร
พระพุทธศาสนาแสดงว่า ผู้นับถือศาสนาพุทธแล้ว จะได้รู้สิ่งที่ตน ไม่เคยรู้มาก่อน คือทำให้รู้จักพระเจ้าและรู้จักตัวเอง
ในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม แสดงว่า นับถือศาสนาดังกล่าวแล้วตายไปจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ของศาสนานั้นๆ.