ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
๑. ๑.๑ คำว่า ญัตติ อนุสาวนา อปโลกนะ อุปสัมปทาเปกขะ ได้แก่อะไร ? จงชี้แจง
๑.๒ ภิกษุผู้สามารถสวดกรรมวาจาได้แม่นยำและสละสลวย ต้องพร้อมด้วยคุณสมบัติ
อย่างไรบ้าง ?
๑. ๑.๑ ญัตติ ได้แก่คำเผดียงสงฆ์
อนุสาวนา ได้แก่คำประกาศปรึกษาและตกลงของสงฆ์
อปโลกนะ ได้แก่การบอกกันในที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้งญัตติ
ไม่ต้องสวดอนุสาวนา
อุปสัมปทาเปกขะ ได้แก่กุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบท ฯ
๑.๒ อย่างนี้ คือ
๑) รู้จักประเภทของอักขระ
๒) รู้จักฐานกรณ์ของอักขระ
๓) ว่าเป็น ฯ
๒. ๒.๑ ภิกษุผู้นับเข้าในจำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้นๆ ต้องเป็นภิกษุเช่นไร ?
๒.๒ เวลาทำสังฆกรรม ภิกษุที่อยู่ในสีมาเดียวกัน นับเข้าในจำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรม
ทั้งหมดใช่หรือไม่ ? จงอธิบาย
๒. ๒.๑ ต้องเป็นภิกษุปกติ ไม่ถูกสงฆ์ยกเสียจากหมู่ด้วยอุกเขปนียกรรม มีสังวาส
เสมอด้วยสงฆ์ และเป็นสมานสังวาสของกันและกัน ฯ
๒.๒ ไม่ใช่ เพราะภิกษุที่เหลือจากจำนวนผู้ไม่มาเข้ากรรม เป็นผู้ควรให้ฉันทะ สงฆ์
ทำกรรมเพื่อภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ไม่นับเข้าในจำนวนสงฆ์ และไม่ใช่ผู้ควรให้ฉันทะ
แต่เป็นผู้ควรเข้ากรรมนั้น ฯ
๓. ๓.๑ วิสุงคามสีมา พัทธสีมา ได้แก่สีมาเช่นไร ?
๓.๒ กฐิน เป็นสังฆกรรมอะไร ? การรับกฐิน ตลอดจนถึงกราน ต้องทำในสีมา
อย่างเดียว หรือทำนอกสีมาก็ได้ ?
๓. ๓.๑ วิสุงคามสีมา ได้แก่เขตที่สงฆ์ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกให้เป็น
แผนกหนึ่งจากบ้าน ฯ
พัทธสีมา ได้แก่วิสุงคามสีมานั้นเองอันสงฆ์ผูกแล้ว คือสมมติเป็นสมานสังวาส
สีมาแล้ว ฯ
๓.๒ เป็นญัตติทุติยกรรม ฯ การรับกฐิน การอปโลกน์เพื่อให้ผ้ากฐิน และการกรานกฐิน
ทำในสีมาหรือนอกสีมาก็ได้ การสวดญัตติทุติยกรรมวาจาให้ผ้ากฐิน ต้องทำในสีมา
อย่างเดียว ฯ
๔. ๔.๑ กฐินจะเดาะหรือไม่เดาะ กำหนดรู้ได้อย่างไร ?
๔.๒ ผ้าที่ทรงห้ามใช้เป็นผ้ากฐินได้แก่ผ้าเช่นไรบ้าง ?
๔. ๔.๑ กฐินเดาะ กำหนดรู้ได้ด้วยอาวาสปลิโพธและจีวรปลิโพธขาด หรือสิ้นเขตจีวรกาลที่
ขยายออกไปอีก ๔ เดือน กฐินไม่เดาะ กำหนดรู้ได้ด้วยอาวาสปลิโพธหรือ จีวร
ปลิโพธอย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่ขาด และยังอยู่ในเขตจีวรกาลที่ขยายออกไปอีก ๔
เดือน ฯ
๔.๒ เช่นนี้ คือ
๑) ผ้าที่ไม่ได้เป็นสิทธิ เช่น ผ้าที่ขอยืมเขามา
๒) ผ้าที่ได้มาโดยอาการอันมิชอบ คือทำนิมิตได้มา
๓) ผ้าที่ได้มาโดยการพูดเลียบเคียง
๔) ผ้าเป็นนิสสัคคีย์
๕) ผ้าที่ได้มาโดยทางบริสุทธิ์ แต่เก็บไว้ค้างคืน ฯ
๕. ๕.๑ ผู้ที่ถูกห้ามอุปสมบท เพราะทำผิดต่อพระศาสนา ได้แก่คนเช่นไร ?
๕.๒ ในเวลาสวดกรรมวาจานั้น กำหนดด้วยสงฆ์นิ่งอยู่จนถึงบาลีคำใด อุปสมบทกรรม
จึงจะนับว่าเป็นการสำเร็จ ?
๕. ๕.๑ ได้แก่
๑) คนฆ่าพระอรหันต์
๒) คนทำร้ายภิกษุณี
๓) คนลักเพศ
๔) ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์
๕) ภิกษุต้องปาราชิกละเพศไปแล้ว
๖) ภิกษุผู้ทำสังฆเภท
๗) คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ฯ
๕.๒ กำหนดด้วยสงฆ์นิ่งอยู่จนถึงคำว่า โส ภาเสยฺย ที่แปลว่า ท่านผู้นั้นพึงพูดท้ายอนุสาวนาที่ ๓ จึงนับว่าเป็นการสำเร็จ ฯ
๖. ๖.๑ อนุวาทาธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่รีบระงับ มีผลเสียอย่างไร ?
๖.๒ ภิกษุผู้ต้องอนุวาทาธิกรณ์ พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๖. ๖.๑ มีผลเสีย คือทำให้เสียสีลสามัญญตาและเสียสามัคคี เป็นทางแตก เป็นนานา-
สังวาส จนถึงเป็นนานานิกาย ฯ
๖.๒ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ
๑) เคารพในผู้พิจารณา
๒) ให้การตามความเป็นจริง
๓) พึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของสงฆ์
๔) ไม่ขุ่นเคือง ฯ