ชายคนหนึ่งเป็นผู้เคร่งศาสนา มีความศรัทธาในพระเจ้า เขาหมั่นสวดมนต์ภาวนา บำเพ็ญตนเป็นศาสนิกที่ดีระดับแนวหน้า อยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง น้ำป่าไหลหลากท่วมเมือง ใครต่อใครต่างอพยพหนีตายกัน เพื่อนบ้านขับรถผ่านมา ตะโกนชวนเขาหนีไปด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธว่า
“ขอบใจ ไม่ต้องห่วงผมหรอก พระเจ้าจะคุ้มครองผมเองแหละ”
ระดับน้ำเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องอพยพขึ้นไปอยู่ชั้นสองของบ้าน วันหนึ่งมีเรือกู้ภัยมารับตัวเขา แต่ได้รับการปฏิเสธโดยบอกปัดไปว่า
“ไปช่วยคนอื่นเถิด สำหรับผมไว้เป็นภาระของพระผู้เป็นเจ้าเอง”
รุ่งขึ้นระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาพาตัวเองขึ้นไปหลบภัยอยู่บนหลังคา หน่วยกู้ภัยของรัฐส่งเครื่องบินมารับตัวเขา นักบินตะโกนบอกให้เขาไต่ขึ้นบันไดที่พวกเขาค่อยๆหย่อนลงมาจากเครื่องบิน แต่เขายังยืนกรานปฏิเสธเช่นเดิม
ทุกคนส่ายหัวไม่รู้จะหาวิธีใดที่ดียิ่งกว่านี้ จึงพากันกลับไป คืนนั้นน้ำป่าไหลหลากจนท่วมหลังคาบ้าน ชายผู้เคร่งศาสนาพบจุดจบอย่างน่าอนาถในคืนนั้นเอง วิญญาณของเขาล่องลอยสู่สวรรค์ และที่นั่นเขาได้พบกับพระเจ้า พระองค์ทรงทักเขาว่า
“อ้าว คนดีๆอย่างเธอไม่ควรจะต้องมาตายตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาของเธอเลย”
“กระผมก็เชื่อเช่นนั้นแหละครับ แต่ที่ต้องเป็นเช่นนี้เพราะพระองค์นั่นแหละที่ไม่ช่วยกระผมเลย” เขากล่าวด้วยความรู้สึกน้อยใจ
“ใครบอกว่าเราไม่ช่วยเธอ เราส่งรถยนต์ เรือ และเครื่องบินไปช่วยเธอตั้งสามครั้ง เธอต่างหากเล่าที่ไม่ยอมรับการช่วยเหลือ” พระเจ้าทรงชี้แจง
ได้ฟังเช่นนั้น ผู้เชื่อมั่นในพระเจ้าถึงกับคอตก ยอมรับชะตากรรมของตนโดยดี กว่าจะรู้ว่าพระเจ้าที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ก็สายเกินไปที่จะได้เข้าเฝ้ารับพรจากพระองค์
เรื่องนี้เป็นแค่นิทานให้เรารู้ว่า แท้จริง มีแต่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น หรือสัตว์ร่วมโลกเท่านั้นที่จะช่วยดหลือกันและกัน อย่าได้หวังพึ่งเทวดาที่ไหนจะเหาะมาช่วย




