1. พุทธศาสนสุภาษิต
พุทธศาสนสุภาษิต คือหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ที่มีเนื้อหาสาระมีประโยชน์ที่ควรนำมาปฏิบัติ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และเหล่าพระสาวกก็ได้กล่าวไว้เช่นกัน เป็นถ้อยคำที่กล่าวไว้ดี มีคติเตือนใจ เป็นคาถาหรือข้อความสั้นๆ ยังไม่ได้อธิบายขยายความ ซึ่งส่วนมากจะเขียนและอ่านเป็นแบบภาษาบาลี
การศึกษาพุทธศาสนาสุภาษิต ทำให้นักเรียนได้รับประโยชน์ ในด้านการอ่านและเขียนภาษาบาลีได้อย่างถูกต้อง ได้รู้หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่เป็นข้อเตือนใจ สามารถอธิบายขยายหลักธรรมให้พิสดารได้ และได้เรียนรู้หลักธรรมที่จะนำไปเป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
ในปัจจุบันพุทธศาสนสุภาษิต ได้ถูกนำไปใช้เป็นปรัชญาของสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน เพื่อใช้เป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ ทั้งชาวพุทธแต่ละคนยังได้ยึดเป็นคติประจำใจด้วย
ตัวอย่างพุทธศาสนาสุภาษิต ที่ควรศึกษาและนำไปปฏิบัติ
กมฺมุนา วตฺตตี โลโก
คำอ่าน กัมมุนา วัตตะตี โลโก
(กำ มุ นา วัด ตะ ตี โล โก )
คำแปล สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ขยายความ = กรรม หมายถึง การกระทำของแต่ละบุคคลที่กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ได้ การกระทำนั้นเกิดได้ 3 ทาง คือ กาย วาจา และใจ กรรมคือตัวบ่งชี้ทิศทางของแต่ละคน คนผู้ประกอบกรรมดีจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วนผู้ประกอบกรรมชั่วก็จะได้รับสิ่งไม่ดีต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราจึงมาจากกรรมคือการกระทำของเราทั้งสิ้น มนุษย์และสรรพสัตว์ ถือว่าเป็นสัตว์โลกด้วยกัน ทุกชีวิตล้วนดำเนินชีวิตอยู่กับการกระทำของตัวเอง ไม่มีใครบังคับขู่เข็ญชีวิตเราได้ได้นอกจากกรรมเท่านั้น ฉะนั้น คนเราจึงมีวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน เพราะมีการกระทำหรือกรรมที่ต่างกัน
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
คำอ่าน กัละยาณะการี กัละยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง
( กัน ละ ยา ณะ กา รี กัน ยา นัง ปา ปะ กา รี จะ ปา ปะ กัง )
คำแปล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ขยายความ = การกระทำของมนุษย์มีทั้งดีและชั่ว การทำดี คือ การกระทำแล้วตนเองสบายใจ และผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อน ส่วนการทำชั่ว คือ การกระทำแล้วตัวเองไม่สบายใจและผู้อื่นก็เดือดร้อนด้วย พระพุทธศาสนาตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผลสอนให้บุคคลเชื่อเรื่องกรรมคือการกระทำ ใครทำเช่นใดก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่มีใครหนีผลของการกระทำที่ตัวเองได้กระทำไว้ไปได้ ฉะนั้นผู้ต้องการความเจริญแห่งชีวิต ก็พึงทำแต่ความดีไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน การกระทำของเราเปรียบกับการหว่านพืช หว่านพืชเช่นใด ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ทุกคนจงเชื่อในการกระทำของตนเอง
สุโข ปุ?ฺ?สฺส อุจฺจโย
คำอ่าน สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย
( สุ โข ปุณ ยัด สะ อุด จะ โย )
คำแปล การสั่งสมบุญนำสุขมาให้
ขยายความ = บุญ หมายถึง ผลที่เกิดจากการกระทำความดี คือความสบายกาย สบายใจ เป็นผลอันต่อเนื่องจากการกระทำดีที่เราได้กระทำไป การกระทำบุญ ทำได้หลายวิธีทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ สิ่งใดที่ทำไปแล้วผู้อื่นไม่เดือดร้อน แล้วตัวเองก็สบายใจนั้นถือว่าเป็นบุญ เราควรได้ทำบุญไว้อย่างเสมอ เพราะผลที่เกิดขึ้นจากกระทำให้เรามีความสุขทางใจ และมีความสุขในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน การสั่งสมบุญ เป็นการทำความดีอย่างสม่ำเสมอ ทุกโอกาสที่จะทำได้ ไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะการทำความดีนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกเวลาทำได้ตลอด ยิ่งทำมากเท่าไร่ย่อมได้รับอานิสงส์มาก ความสุขถือว่าเป็นอานิสงส์ สุขนั้น หมายเอาสุขทางใจ และสุขในการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันที่ไม่ต้องเดือดร้อนใดๆ ฯ
2. คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา
ฌาน
ฌาน หมายถึงสมาธิแน่วแน่สนิทเรียกว่า อัปปนาสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิถึงขั้นนี้ก็เป็นอันเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า ฌาน ในฌานนั้น สมาธิหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เอกัคคตา จะมีองค์ธรรมอื่น ๆ จำนวนหนึ่งเป็นตัวประกอบร่วมอยู่ด้วยเป็นประจำเสมอไป ฌานมีหลายขั้น คือแบ่งเป็น 4 ตามแนวพระสูตรแต่เดิมบ้าง เป็น 5 ตามแนวพระอภิธรรมบางแห่งบ้าง ยิ่งเป็นฌานขั้นสูงขึ้นไป ก็ยิ่งประณีตขึ้น ยิ่งประณีตขึ้นก็ยิ่งมีองค์ธรรมประกอบร่วมประจำน้อยลงตามลำดับ องค์ธรรมประกอบร่วมประจำในฌานรวมทั้งตัวสมาธิ หรือเอกัคคตาด้วยนั้น เรียกกันสั้น ๆ ว่าองค์ฌานหรือตามบาลีว่า ฌานงค มีทั้งหมด 6 อย่างคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา และเอกัคคตา มีความหมายสังเขปดังนี้
1. วิตก แปลว่า ความตรึก หมายถึง การจรดหรือปักจิตลงไปในอารมณ์ มีในปฐมฌาน
2. วิจาร แปลว่า ความตรอง หมายถึง การเคล้า หรือเอาจิตผูกพันอยู่กับอารมณ์ มีในปฐมฌาน
องค์ฌาน 2 ข้อนี้ ต่อเนื่องกัน คือ วิตก เอาจิตจรดไว้กับอารมณ์ วิจาร เอาจิตเคล้าอารมณ์นั้นเปรียบได้กับการเอาภาชนะสำริดที่สนิมจับไปขัด วิตกเหมือนมือที่จับภาชนะเอาไว้ วิจาร เหมือนมือถือแปรงขัดสีไปมา หรือเปรียบกับช่างปั้นหม้อ วิตกคือมือที่กดเอาไว้ วิจาร คือมือที่แต่งไปทั่ว ๆ ข้อสำคัญคืออย่าเอาวิตกหรือวิตักกะทางธรรมนี้ มาปะปนกับวิตกที่หมายถึง ความกังวลทุกข์ร้อนในภาษาไทย
3. ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ ดื่มด่ำ หรือเอิบอิ่ม หมายเอาเฉพาะปีติชนิดที่แผ่เอิบอาบซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ที่เรียกว่า ผรณาปีติ ปีติมีในฌานที่ 1 และ 2
4. สุข แปลว่า ความสุข หมายถึงความสำราญ ชื่นฉ่ำ คล่องใจ ปราศจากความบีบคั้นหรือรบกวนใด ๆ มีในฌานที่ 1 ถึงที่ 3
ปีติ กับสุข สำหรับบางคนอาจสับสนแยกยาก จึงทราบลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ปีติ หมายถึง ความยินดีที่ได้อารมณ์ที่ต้องการ ส่วนสุขหมายถึง ความยินดีในการเสวยอารมณ์ที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น คนที่เดินทางมาในทะเลทรายเหนื่อยอ่อน แสนจะร้อนและหิวกระหาย ต่อมาเขาเห็นหมู่ไม้และแอ่งน้ำหรือพบคนอีกคนหนึ่งซึ่งบอกเขาว่ามีหมู่ไม้และแอ่งน้ำอยู่ใกล้ที่นั้น หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปถึง เข้าพักผ่อนและดื่มน้ำที่หมู่ไม้และแอ่งน้ำนั้นสมใจ อาการดีใจที่ได้เห็นหรือได้ยินข่าวหมู่ไม้และแอ่งน้ำนั้น เรียกว่าปีติ อาการชื่นใจเมื่อได้เข้าพักที่ใต้ร่มไม้และดื่มน้ำ เรียกว่าสุข
5. อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย หรือความมีใจเป็นกลาง หรือแปลให้เต็มว่า ความวางเฉยดูอยู่ หมายถึง การดูอย่างสงบ หรือดูตามเรื่องที่เกิด ไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ในกรณีของฌาน คือไม่ติดแม้ในฌานที่มีความสุขอย่างยอด และความหมายที่สูงขึ้นไปอีก หมายถึง วางทีดูเฉยในเมื่ออะไรทุกอย่างเข้าที่ดำเนินการไปด้วยดี หรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเจ้ากี้เจ้าการโดยเฉพาะในฌานที่ 4 คือบริสุทธิ์จากธรรมที่เป็นข้าศึกเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องขวนขวายที่จะกำจัดธรรมที่เป็นข้าศึกนั้นอีก จัดเป็นองค์ฌานโดยเฉพาะของฌานที่ 4
ความจริงอุเบกขามีในฌานทุกขั้น แต่ในขั้นต้น ๆ ไม่เด่นชัด ยังถูกธรรมที่เป็นข้าศึก เช่น วิตก วิจาร และสุขเวทนา เป็นต้นข่มไว้ เหมือนดวงจันทร์ในเวลากลางวัน ไม่กระจ่าง ไม่แจ่ม เพราะถูกแสงอาทิตย์ข่มไว้ ครั้นถึงฌานที่ 4 ธรรมที่เป็นข้าศึกระงับไปหมด และได้ราตรีคืออุเบกขาเวทนา (คือ อทุกขมสุขเวทนา) สนับสนุน ก็บริสุทธิ์ ผุดผ่อง แจ่มชัด และพาให้ธรรมอื่น ๆ ที่ประกอบอยู่ด้วย เช่น สติ เป็นต้น พลอยแจ่มชัดบริสุทธิ์ไปด้วย
6. เอกัคคตา แปลว่าภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวได้แก่ตัวสมาธินั้นเอง มีในฌานทุกขั้น
ญาณ
ญาณ หมายถึง เป็นความรู้ ปรีชาหยั่งรู้ หรือปรีชากำหนดรู้ หรือปัญญา มีหลายหมวดเช่น
ญาณ 3 ได้แก่ 1. อตีตังคญาณ คือ กำหนดรู้ในส่วนอดีต
2. อนาคตังสญาณ คือ กำหนดรู้ในส่วนอนาคต
3. ปัจจุปปันนังสญาณ คือ กำหนดรู้ในส่วนปัจจุบัน
วิชชา 3 (ความรู้วิเศษ) คือ ญาณที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรม ได้แก่
1. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้
2. จุตูปปาตญาณ คือ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
3. อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำอาสวะกิเลสให้สิ้น
ปัญญา 2 ได้แก่
1. โลกิยปัญญา (ความรู้แบบโลก)
2. โลกุตตรปัญญา (ความรู้ข้ามพ้นโลก)
ปัญญา 3 ได้แก่
1. สุตมยาปัญญา (ปัญญาเกิดจากจากการฟัง)
2. จินตามยาปัญญา (ปัญญาเกิดจากจากการคิด)
3. ภาวนามยาปัญญา (ปัญญาเกิดจากจากการอบรมปฏิบัติ)