สำหรับในประเทศไทย พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์นี้คือแบบที่นับถือกันมาเป็นศาสนาประจำชาติจนปัจจุบันซึ่งสามารถแยกย่อยเป็นสมัยต่าง ๆดังนี้
1. สมัยอาณาจักรสุโขทัย
พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์เฟื่องฟูมากในเมืองนครศรีธรรมราช จนเมื่อ พ.ศ.1820 นครศรีธรรมราชมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัยน่าเคารพเลื่อมใส จึงโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์ สมเด็จพระมหาเถรสังฆราชจากนครศรีธรรมราชขึ้นมาเทศนาสั่งสอนประชาชนในกรุงสุโขทัย ปรากฎว่าพระพุทธศานานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์นี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวไทยสมัยสุโขทัยเป็นอย่างยิ่ง และลัทธิมหายานก็ได้เสื่อมสูญไป มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการนับถือมากมาย เช่น อาทิ วัดมหาธาตุ วัดศรีชุม ตลอดจนวรรณคดีพระพุทธศาสนาที่สำคัญมากของไทยเรื่องเตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วงก็กำเนิดขึ้นในสมัยนี้โดยเป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าลิไท กษัตริย์ของสุโขทัยรัชกาลที่ 6
2. สมัยอาณาจักรล้านนา
เมื่อ พ.ศ. 1913 พระเจ้ากือนาได้ส่งพระราชฑูตมาอาราธนา พระสังฆราชสุมนเถระจากพระเจ้าลิไทไปยังล้านนา ได้มีการสังคายนาครั้งที่ 8 ขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช มีหลักฐานประวัติศาสตร์ เช่น วัดเชียงมั่น ,วัดพระธาตุดอยสุเทพ, และเกิดวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา อาทิ มังคลัตถทีปนี เป็นต้น
3. สมัยอาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาได้รับอิทธิพลการนับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์มาจากอาณาจักรสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เช่น
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสละราชสมบัติออกผนวช เป็นเวลา 8 เดือน โปรดให้ประชุมกวีแต่งหนังสือมหาชาติคำหลวง โปรดให้สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ฯลฯ
พระเจ้าทรงธรรม ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมมาตั้งแต่ยังทรงผนวช โปรดให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาทที่สระบุรี โปรดให้ราชบัณฑิตแต่งกาพย์มหาชาติ ฯลฯ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ผู้บวชเรียนเป็นอย่างดีไม่ต้องรับราชการ เป็นเหตุให้มีคนหลบเลี่ยงราชการไปบวชกันมาก จนต้องมีการทดสอบความรู้ และผู้ปลอมบวชถูกบังคับให้ลาสิกขาเป็นจำนวนมาก
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ทรงส่งเสริมการอุปสมบท ผู้ที่จะเป็นขุนนางได้ต้องวเป็นผู้บวชมาแล้ว เจ้านายในพระราชวังก็ผนวชทุกพระองค์ ในรัชกาลนี้ มีวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง ปุณโณวาทคำฉันท์ ฯลฯ
เมื่อ พ.ศ. 2296 พระพุทธศาสนาในประเทศลังกาเสื่อมลงเกือบสิ้นสมณวงศ์ พระเจ้ากีรติสิริราชสิงห์แห่งลังกาได้ส่งคณะทูตมายังกรุงศรีอยุธยา ขอพระสงฆ์ไทยไปทำการอุปสมบทแก่ชาวลังกา พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์จึงได้ทรงส่งพระอุบาลีกับพระอริยมุนี พร้อมด้วยคณะสงฆ์อีก 15 รูป เดินทางไปยังลังกา คณะสงฆ์ไทยได้อุปสมบทกุลบุตรชาวลังกาจำนวนมาก และช่วยกันวางรากฐานพระพุทธศาสนาในลังกาจนมั่นคงเป็นปึกแผ่น ต่อมาเกิดเป็นนิกายที่เรียกว่า อุบาลีวงศ์ หรือ สยามวงศ์ ขึ้นในลังการสืบมาจนทุกวันนี้
4. สมัยธนบุรี
หลังจากสถาปนากรุงธนบุรีแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ซึ่งเสื่อมโทรมไปเพราะสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า โดยทรงรับสั่งให้สืบหาพระสงฆ์ที่ทรงคุณธรรมจากทั่งทุกแห่งให้มาประชุมกัน ที่วัดบางหว้าใหญ่ เพื่อคัดเลือกพระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งในที่ประชุมได้พร้อมใจกันเลือกพระอาจารย์ศรี วัดประดู่ แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นสมเด็จพระสังฆราช รับผิดชอบในการฟื้นฟูบูรณะพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาก็กลับฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองดังเดิม
5. สมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์ พระพุทธศาสนาที่คนไทยนับถือก็ยังคงเป็นนิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ เช่นเดียวกับสมัยอยุธยาและธนบุรี พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ก็ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภ็พระพุทธศาสนาด้วยดีมาโดยตลอด ดังเช่น
รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หลังจากทรงใหย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาที่กรุงเทพมหานครแล้วก็ทรงเริ่มทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เช่น โปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง ทรงประกาศใช้กฎหมายคณะสงฆ์ ทรงให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 แห่งพระพุทธศาสนา ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ (วัดพระมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ในปัจจุบัน) เป็นต้น
รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ มากที่สุด รวมทั้งสิ้น 53 วัด ทรงให้ชำระพระไตรปิฎก ทรงทรงสมณทูตไปลังกา 2 ครั้ง และในรัชกาลนี้ได้เกิดคณะสงฆ์ใหม่ขึ้นเรียกว่า คณะธรรมยุต ต่อมาเรียกว่า ธรรมยุติกนิกาย
รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ชำระพระไตรปิฎก และพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทยเป็นครั้งแรก ทรงสถาปนาสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฎราชวิทยาลัย โปรดให้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร. ศ. 121 นอกจากนี้ยังทรงให้สร้างวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นต้น
รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่ม จำนวน 45 เล่ม เรียกว่า พระไตรปิฎกสยามรัฐ นอกจากนี้ยังโปรดให้มีการแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก และแจกจ่ายในงานพระราชพิธีวิสาขบูชาเป็นประจำทุกปี
รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับศาสนาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดียิ่ง เช่น ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ทรงให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงให้ประกาศวันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทรงให้มีการสร้างพุทธมณฑล เนื่องในโอกาสฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ที่จังหวัดจนครปฐม เป็นต้น