4. ความเป็นมาและความสำคัญของพระไตรปิฎก
พระไตรปิฏก คือ คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา ซึ่งรวบรวมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าเป็นหมวดหมูแบ่งออกเป็น 3 ปิฎก ด้วยกันคือ
1. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของ ภิกษุและภิกษุณี
2. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาโดยทั่วไป มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ
3. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน ไม่มีประวัติ และท้องเรื่องประกอบ รวมทั้ง 3 หมวด มี 45 เล่ม
พระไตรปิฎก ในสมัยพระพุทธเจ้าบันจดจำกันมาโดยวิธีมุขปาฐะ (ปากเปล่า) ซึ่งมีพระสงฆ์ที่ช่ำชองในแต่ละหมวด ในด้านพระสูตร พระอานนท์ถือว่าเป็นผู้จำได้มาก ในด้านพระวินัย ถือว่าพระอุบาลีเป็นผู้ทรงจำได้มาก แต่หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว พระสงฆ์จึงจัดให้มีการสังคายนารวบรวมหลักคำสอนเป็นหมวดหมู่ บันทึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษร โดยพระมหินทเถระได้บันทึกในคราวทำสังคายนาที่ประเทศลังกา
พระไตรปิฎก มีความสำคัญเพราะเป็นคัมภีร์ที่จารึกหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยพระธรรมและวินัย ซึ่งพระธรรมวินัยนี้มีความสำคัญในฐานะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ช่วยให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ไว้ พวกเราชาวพุทธควรได้อ่านและศึกษาเพื่อนำมาปฏิบัติ
ข้อความน่ารู้ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฏก มีข้อความน่ารู้อยู่มากมายที่พวกเราควรได้นำมาประพฤติปฏิบัติ แต่ในบทนี้ จะกล่าวถึง
1. พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งประเสริฐ 4 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มีข้อความว่า
- ในหมู่สัตว์สองเท้าพระพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยความรู้แจ้ง ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจาและใจ
- ในหมู่สัตว์สี่เท้าม้าอาชาไนยประเสริฐที่สุด เพราะเป็นม้าพันธุ์ดี ได้ฝึกมาดีแล้ว และเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ง่าย พยศน้อยด้วย
- ในหมู่ภรรยา ภรรยาที่เป็นแม่ศรีเรือนประเสริฐที่สุด โดยช่วยดูแลบ้านให้เรียบร้อย สงเคราะห์ญาติของสามีด้วยดี ไม่นอกใจสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ และมีความขยัน
- ในหมู่บุตร บุตรที่ว่านอนสอนง่ายประเสริฐที่สุด แต่มิได้หมายถึงเขาว่าอะไรก็ทำได้ โดยที่ตัวเองไม่คิดอะไรเลย แต่ต้องมีเหตุผลในการยอมรับ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ชักถามได้
2. ไม่ควรดูหมิ่นของ 4 อย่าง ว่าเล็กน้อย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่ควรดูหมิ่นของ 4 อย่างว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ได้แก่
1. กษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์ เพราะกษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์นั้นอาจมีความรู้ความสามารถและความยุติธรรมได้
2. งูตัวเล็ก เพราะงูตัวเล็กก็จริงแต่สามารถที่จะกัดให้เราตายได้ อย่าดูหมิ่นว่าเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ขอให้ระมัดระวังให้ดี
3. ไฟเล็กน้อย ไฟนั้นแม้จะเล็กน้อย แต่ก็สามารถก่อให้เกิดมหันตภัยได้ เช่น มีดขีดก้านเล็กๆ ก้านเดียวอาจเผาตึกใหญ่โตได้
4. ภิกษุที่ยังหนุ่ม เพราะภิกษุหนุ่มอาจเป็นผู้ทรงศีลและปฏิบัติธรรมจนบรรลุได้ หรือได้ดีกว่าพระที่บวชนาน ๆ แต่ไม่มีศีลอีก
5. คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา
คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนามีมากมายที่น่าสนใจและควรเรียนรู้ แต่ในบทเรียนนี้ จะได้ศึกษาคำศัพท์เหล่านี้ คือ
1. คำว่า สมถะ คำว่า สมถะ มี 2 ความหมาย คือ ความหมายทางโลก และความหมายทางธรรม ในทางโลก หมายถึง ความเรียบง่ายไม่ทะเยอทะยานหรือความเป็นอยู่ง่าย ๆ ส่วนความหมายทางทางธรรม หมายถึง ความงบจิต หรืออาการที่จิตเป็นสมาธิ สงบนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน
2. คำว่า บุญ ได้แก่ ความดี หรือความอิ่มใจ เบิกบานใจ การทำบุญ คือ การทำความดี การชำระจิตให้บริสุทธิ์ มี 10 อย่างด้วยกัน ฯ
สรุปเนื้อหาบทที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 / 2544
- การศึกษาหาความรู้
ความรู้มีอยู่ 2 ประเภท คือ
การศึกษาหาความรู้นั้นจะต้องศึกษาทั้งทางวิชาชีพ และทางธรรม ซึ่งมีวิธีที่ดีวิธีหนึ่งที่จะเข้าถึงความรู้ที่แท้จริง คือ การรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ในการรับฟังนั้นต้องมีใจเปิดกว้าง แต่ว่าต้องระวังสำหรับบุคคลที่ยังมีประสบการณ์น้อย จึงควรอยู่ใกล้ชิดกับคนที่ไว้ใจได้ เช่น พ่อแม่ ครู ฯ
การศึกษาหาความรู้โดยการฟัง คือ ความเป็นผู้สดับรับฟังมามากที่เรียกว่า พหุสูต ที่เกิดจากฟังมามาก จำได้ขึ้นใจ ท่องไว้ติดปาก เพ่งพินิจพิจารณาอย่างรู้แจ้ง วิธีฟังให้เกิดผลด – ตั้งใจฟังด้วยความอดทน – ฟังด้วยความเป็นกลาง – จับเนื้อความให้ได้ – ต้องแยกเหตุผลกับอารมณ์ออกจากกัน
– ต้องแยกผู้พูดกับสิ่งที่เขาพูด ประโยชน์ที่เกิดจากการฟัง – ได้ความรู้เพิ่มเติม – ได้ทบทวนความรู้เดิม – ฝึกให้เป็นผู้รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
- การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
การเผยแผ่พระศาสนา คือ การทำให้ผู้อื่นรู้และเข้าใจหลักคำสอนให้ถูกต้อง เช่น -รู้จักหลักธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง -รู้จักประวัติความเป็นมาของศาสนา -รู้จักการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของศาสนา โดยปราศจากการบังคับขู่เข็ญ
วิธีการเผยแผ่พระศาสนา ได้แก่การกระทำด้วยการพูดหรือการเขียน – การใช้หลักประชาสัมพันธ์ – การปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง
ผู้ที่ทำการเผยแผ่พระศาสนา ได้แก่ พุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ-สามเณร อุบาสก–อุบาสิกา และพุทธศาสนิกชนทั่วไป
คุณสมบัติของผู้จะทำการเผยแผ่พระศาสนา คือ 1) ต้องเป็นศาสนิกชนที่ดี ที่มีความรู้และเข้าใจในหลักธรรมเป็นอย่างดี 2) ต้องเป็นผู้สามารถปฏิบัติตามหลักศาสนาได้อย่างถูกต้อง
วิธีการเผยแผ่ที่ทุกคนสามารถกระทำได้ ได้แก่
1) ปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี โดยการปฏิบัติตามศีล 5 และธรรม 5
2) แจกแจงหลักธรรมหรืออธิบายหลักธรรมให้แก่ผู้ไม่รู้ให้เข้าใจ เช่น เรื่อง ศีล 5 ธรรม 5 พรหมาวิหาร 4 และกฏแห่งกรรม ฯลฯ
3) แนะนำหนังสือที่ดีให้ผู้อื่นได้อ่าน ซึ่งในแนะนำต้องแนะนำหนังสือที่เข้ากันได้กับคนแต่ละคนด้วย
4) ไม่ควรดูหมิ่นศาสนาอื่น เพราะศาสนาใคร ๆ ก็สักการบูชา จึงต้องระมัดระวังคำพูดหรือการกระทำใด ๆ ที่จะเป็นการหลบหลู่ศาสนาอื่น
ลักษณะของการเผยแผ่พระศาสนาที่นักเรียนพึงกระทำ ได้แก่
- อธิบายหลักธรรมหรือแนะนำให้ผู้ไม่รู้ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในหลักธรรมคำสอนทางศาสนา
- เห็นเพื่อนประพฤติไม่ดี ควรชี้แจ้งตักเตือนชี้ให้เห็นโทษในการกระทำ
- ปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดี ในฐานะเป็นลูกที่ดี ศิษย์ที่ดี พี่ที่ดี น้องที่ดี
- ชวนเพื่อนเข้าร่วมประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในโอกาสอันสมควร
เหตุผลที่ต้องมีการเผยแผ่ศาสนา เพื่อเป็นการรักษาศาสนาให้คงอยู่ และสงเคราะห์คนที่ตกทุกข์ให้ได้มีความสุข ตลอดทำให้สังคมมีแต่สันติสุขด้วย
3.การปกป้องพระศาสนา
การปกป้องพระพุทธศาสนา คือ การรักษาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ดำรงมั่นคง โดยทางตรงและทางอ้อม
การปกป้องพระพุทธศาสนา มี 4 สถาน คือ 1) การปกป้องพระพุทธ 2) การปกป้องพระธรรม 3) การปกป้องพระสงฆ์ 4) การปกป้องศาสนวัตถุและศาสนสถาน
วิธีการปกป้องพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ได้แก่
1) ต้องมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจ 2) ต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนอย่างถูกต้องเหมาะสม
3) มีความเข้าใจ เชื่อ และทำตนเป็นคนดีตามหลักคำสอน 4) ช่วยกันทำนุบำรุงรักษาศาสนวัตถุและศาสนสถาน
การปกป้องพระพุทธศาสนาที่นักเรียนควรกระทำ ได้แก่
- หมั่นศึกษาหาความรู้ทางพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ
- พึงปฏิบัติตนตามหลักคำสอน ทำตนให้เป็นคนดีเสมอ
- ควรให้ความรู้หรือแนะนำแก่ผู้ดูถูกหรือกระทำผิดต่อพระศาสนา 4) ช่วยกันทำนุบำรุงรักษาศาสนวัตถุและศาสนสถานให้มั่นคง
วิธีการปกป้องพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธพึงกระทำ ได้แก่
1) เมื่อชาวพุทธทั่วไปปฎิบัติมิชอบ ชาวพุทธที่ดีควรปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ขยันหมั่นเพียร ประกอบอาชีพสุจริต มีความเอื้อเฟื้อเผื่อนแผ่
2) เมื่อพระสงฆ์สามเณรปฏิบัติมิชอบ ชาวพุทธที่ดีไม่ควรส่งเสริมหรือเปิดโอกาสให้กระทำผิด ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ได้ตักเตือน
3) เมื่อปูชนียวัตถุและปูชนียวัตถุเสื่อมโทรมหรือถูกดูหมิ่น ชาวพุทธที่ดีควรช่วยกันทำนุบำรุง และรักษาไม่ใช้เสื่อมโทรมไป
…ถ้าไม่เข้าใจให้อ่านเพิ่มเติมในหนังสือเรียนอีกเที่ยว…
“ไม่มีใครทำให้เราประสบความสำเร็จได้นอกจากตัวเราเอง จงมุ่งมั่น ขยัน อดทน เพื่ออนาคตที่สดใส”
สรุปเนื้อหาบทที่ 7 ภาคเรียนที่ 2/2544
7.1 การฝึกสมาธิเบื้องต้นตามหลักอานาปานสติ
สมาธิ หมายถึง ความตั้งมั่นของจิต หรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด จนเกิดความสงบไม่ฟุ้งซ่าน จิตจดจ่อต่อสิ่งที่กำลังคิด กำลังพูดและกำลังกระทำ สามารถรวมพลังสติปัญญาและความคิดมาใช้ในสิ่งที่กำลังคิด พูด ทำนั้นได้อย่างเต็มที่และมีสติอยู่เสมอ
สมาธิ มี 2 ประเภท คือ 1) สมาธิที่มีโดยธรรมชาติ หมายถึง สมาธิที่ได้มาโดยธรรมชาติ มีมากน้อยแต่ละบุคคลและมิได้เกิดทุกเวลา จะมีก็ต่อเมื่อเราตั้งใจ เอาใจจดใจจ่อต่อสิ่งที่ทำเฉพาะหน้า เมื่อเลิกตั้งใจสมาธิก็จะไม่มี เช่น สมาธิในการอ่านหนังสือ การพูด การฟัง 2) สมาธิที่ต้องพัฒนา หมายถึง สมาธิที่เกิดจากการปฏิบัติตามกรรมวิธีที่เป็นเทคนิคโดยเฉพาะ ได้แก่ การพัฒนาสมาธิที่มีโดยธรรมชาติให้ถูกหลักถูกวิธีนั้นเอง เพื่อให้มีพลังมากกว่าเดิมจะได้นำไปใช้ในกิจกรรมการงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้มีประสิทธิภาพ
การฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ
อานาปานสติ หมายถึง การอบรมจิตโดยมีสติกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นวิธีการฝึกสมาธิที่พุทธศาสนิกชนนิยมปฏิบัติกันมากกว่าวิธีการอื่น เนื่องจากปฏิบัติได้ง่าย เพราะการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นสิ่งที่กำหนดได้ง่าย ทำให้เกิดสมาธิได้เร็ว การฝึกสมาธิแบบนี้ ต้องฝึกเป็นประจำและต่อเนื่องจนเป็นนิสัย จึงเกิดประโยชน์แก่ตนเอง
ขั้นตอนในการฝึกสมาธิตามหลักอานาปานสติ
ขั้นเตรียม เลือกสถานที่ กำหนดเวลา สมาทานศีล นมัสการพระรัตนตรัย แผ่เมตตา และตัดความกังวล แล้วเริ่มปฏิบัติได้
ขั้นปฏิบัติ 1) ท่านั่ง ให้นั่งบนพื้นในท่า “สมาธิ” เหมือนพระพุทธรูปปางสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งสติให้มั่น มือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย 2) กำหนดจิตไว้ที่ลมหายใจเข้า-ออก อย่าคิดเรื่องอื่น ถ้าคิดเรื่องอื่นให้ดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก แล้วภาวนา “หายใจเข้า พุทธ หายใจออก โธ หรือจะใช้วิธีอื่น ๆ เช่นการนับก็ได้ 3) ลืมตาจามสมาธิ แล้วแผ่เมตตาอีกครั้ง
สรุป ขั้นตอนในการนั่งสมาธินั้น ต้องเริ่มแต่ การสมาทานศีล นั่งสมาธิ แผ่เมตตา ตามลำดับ
อุปสรรคในการปฏิบัติสมาธิ ในการปฎิบัติสมาธินั้น สิ่งที่จะควบคุมจิตได้ดีต้องกำหนดสติให้อยู่ และละอุปสรรคที่เรียกว่ากิเลส คือ นิวรณ์ ได้แก่ อารมณ์ใคร่ในการ อารมณ์โกรธ ความง่วงเหงาหาวนอน และความลังเล ให้ได้ก่อน
ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ สมาธิ มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ ดังนี้ 1) ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน จิตที่มีสมาธิจะเป็นจิตใจที่สบาย ไม่มีความเครียด มีความสุข หายจากวิตกกังวล นอนหลับง่าย มีประสิทธิภาพในการงทำงาน เช่น เรียนหนังสือดี สามารถเสริมสุขภาพและแก้ไขโรคได้ 2) ประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพ จิตที่มีสมาธิ สามารถทำให้บุคลิกเข้มแข็ง หนักแน่นมั่นคง มีความสุภาพ เยือกเย็น เบิกบาน มีเมตาตากรุณา สง่า องอาจ น่าเกรงขาม มีเสน่ห์ดึงดูดใจ น่าคบหา กระฉับกระเฉง สามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ
7.2 การเจริญปัญญา
ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่วถึงหรือรู้แจ่มแจ้งตลอด หมายถึง ความรู้ทั่วถึงเหตุและผล เมื่อรู้เหตุของสิ่งใด ก็สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าผลของสิ่งนั้นเป็นอย่างไร ความรู้นั้นเป็นความรู้ตามความเป็นจริง ตามที่เคยเป็นมาแล้ว เคยมีมาแล้ว ไม่ใช่ผิดจากความเป็นจริง
ความรู้ มี 2 ประเภท คือ 1 ) ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิด เรียกว่า สหชาติกปัญญา เป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนพึงมีมาแต่กำเนิดมากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่บุคคล โดยยังไม่รับการฝึกฝนพัฒนามาก่อน 2) ความรู้ที่มีขึ้นด้วยการศึกษาเล่าเรียน เรียกว่า โยคปัญญา เป็นความรู้ที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน ได้การอบรมสั่งสอนจากเกิดความเข้า มีการพัฒนาฝึกฝนอยู่เรื่อย ๆ จนนำมาใช้ในชีวิตได้
ประโยชน์ของปัญญา ปัญญามีประโยชน์ต่าง ๆ เช่น สามารถทำให้เราวินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้อง ทำให้เรามองสิ่งต่าง ๆ ได้ตลอดทำให้แก้ปัญหาชีวิตได้ ทำให้รู้ผิดรู้ถูก รู้ทางเสื่อมและทางเจริญ ทำให้สร้างฐานะเป็นปึกแผ่นได้ทำให้เข้าใจโลกและชีวิต และมีเมตตากรุณาแก่คนทั่วไป และ ทำให้เป็นคนมีเหตุผล มีใจกว้างและยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
การพัฒนาปัญญา สามารถพัฒนาให้เกิดมีและงอกงามได้ 3 ทาง คือ
1) สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง หมายถึง ปัญญาที่การจากการฟังรวมถึงการศึกษาเล่าเรียนทางอื่นด้วย ผู้ใฝ่ปัญญาจึงควรฝึกการฟังและการศึกษาเล่าเรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามขั้นตอน ดังนี้ ฟังมาก จำได้ คล่องปาก เจนใจ ประยุกต์ใช้ได้
2) จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิด หมายถึง ปัญญาที่การจากการคิดทบทวนเรื่องที่เคยฟังมาแล้ว หรือการฝึกคิดเพื่อให้เกิดปัญญา โดยมีขั้นตอนการคิด ดังนี้ -คิดถูกวิธีหรือมีวิธีคิดที่แยบคาย -คิดเป็นระเบียบ คือ คิดต่อเนื่องกันเป็นลำดับ -คิดมีเหตุผล คือ รู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล และ คิดเร้ากุศล คือ หัดคิดให้เกิดผลในทางที่ดีเกื้อกูลสังคม -คิดปลุกเร้าให้เกิดการกระทำ
3) ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาเกิดจากการลงมือกระทำ หมายถึง ปัญญาที่เกิดการฝึกทดลองหรือเกิดจากการกระทำ มีการฝึกฝนเพื่อให้เกิดปัญญา แต่การกระทำตั้นต้องกระทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งมีวิธีการ ดังนี้ อย่าสักแต่ว่าฟังครูพูดหรืออ่านตำรา เมื่อฟังหรืออ่านเรื่องใดแล้วต้องโยงให้สัมพันธ์กับการปฏิบัติให้ได้ด้วย – หัดตั้งข้อสงสัย หัดตั้งคำถามที่ดีที่จะนำไปสู่ความรู้ที่กว้างขวางขึ้น เมื่อตั้งคำถามได้แล้วก็ต้องพยายามหาคำตอบที่ถูกต้อง – หมั่นค้นคว้า ตรวจสอบวิชาความรู้ที่เรียนมา -นำสิ่งที่ได้เล่าเรียนมาปฏิบัติด้วยการลงมือกระทำให้ประจักษ์ด้วยตนเอง …..
จบเนื้อหาบทที่ 7 (เนื้อหาที่เหลือควรอ่านเพิ่มเติมในหนังสือเรียนอีก)
สรุปเนื้อหาบทที่ 8 ภาคเรียนที่ 2/2544
1. มารยาทชาวพุทธ
1.1 การแสดงความเคารพพระรัตนตรัย พระรัตนตรัย คือ สิ่งประเสิรฐสุดสามสิ่งในพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
การแสดงความต่อพระรัตนตรัย มีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ 3 แบบ คือ
- อัญชลีกรรมหรือการประนมมือ ได้แก่ การยกมือทั้งสองตั้งประนมขึ้นเป็นพุ่ม โดยให้ฝ่ามือทั้งสอบชิดกันตั้งไว้ระหว่างอก นิ้วมือทั้งสิบชิดกัน ไม่เหยียดตรงไปข้างหน้า แขนทั้งสองข้างกางห่างจากลำตัวพอสมควร เงยหน้ามองตรงสิ่งที่เคารพ ลำตัวตั้งตรง หลังไม่งอ
- นมัสการหรือการไหว้ ได้แก่ การยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผากพร้อมกับน้อมหรือก้มศีรษะลงเล็กน้อยให้ปลายนิ้วชี้จรดตีนผม ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดกลางหน้าผากหรือระหว่างคิ้ว ไหว้เพียงครั้งเดียวแล้วลดมือลง
- อภิวาทหรือการกราบ ได้แก่ การกราบพระรัตนตรัย โดยการใช้วิธีการกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ คือการกราบโดยให้อวัยวะทั้ง 5 ได้แก่ เข้าทั้ง 2 มือทั้ง 2 และหน้าผาก 1 จรดพื้น ทำอย่างนี้จนครบ 3 ครั้ง
1.2 การนิมนต์พระสงฆ์ การนิมนต์พระสงฆ์ คือ การที่เจ้าภาพของงานหรือผู้แทนไปแจ้งความจำนงกับเจ้าอาวาสหรือพระรูปใดรูปหนึ่ง เพื่อขอเชิญหรืออาราธนาพระสงฆ์ตามจำนวนที่ต้องการไปประกอบศาสนพิธีในงานต่าง ๆ ถ้านิมนต์ไปในงานมงคล เช่น การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ควรนิมนต์พระสงฆ์เป็น คี่ เช่น 3 รูป 5 รูป 7 รูป และ 9 รูป ถ้านิมนต์ท่านไปในงานอวมงคล เช่น งานทำบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ควรนิมนต์เป็นคู่ เช่น 4 รูป 10 รูป เป็นต้น การนิมนต์พระสังฆ์ในปัจจุบัน ควรทำเป็นหนังสือ ที่เรียกว่า “ฎีกานิมนต์” เพื่อชี้แจงงาน วัน เวลา สถานที่ให้ท่านได้ทราบเพื่อความแน่นอนและกันลืม ในการเขียนฏีกานิมนต์นั้น ต้องเขียนตามรูปแบบดังเช่นปรากฏในหนังสือเรียน (หน้า 79) (ควรจำไว้ด้วย)
1.3 การถวายเงิน (ปัจจัย) แก่พระสงฆ์ เงินทอง ธนบัตร ถือเป็นวัตถุอนามาส พระท่านรับไม่ได้เพราะผิดพระวินัย ชาวพุทธไม่ควรหยิบยื่นถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ หากจะถวายควรให้ใช้ใบปวารณาแทนเงิน ใบปวารณานั้น เมื่อเขียนจำนวนเงินแล้ว ควรเขียนชื่อผู้ถวายกำกับด้วย แล้วใส่ซองถวายท่าน (รูปแบบใบปวารณาดูได้ในหนังสือเรียน หน้า 80 จำไว้ด้วย)
1.4 มารยาทในการใช้รถหรือเรือประจำทาง ในการใช้รถประจำทางนักเรียนควรมีมรรยาทที่เหมาะสม ดังนี้ 1) ควรขึ้นหรือลงอย่างมีระเบียบ 2) ควรสละที่นั่งแก่เด็ก คนชราและหญิงมีครรภ์ 3) ไม่ควรนำอาหารหรือขบเคี้ยวมาทานในรถ ฯลฯ
1.5 มารยาทในห้องเรียนหรือห้องบรรยาย เมื่ออยู่ในห้องเรียนหรือห้องบรรยาย นักเรียนควรว่างตัวให้เหมาะสม ดังนี้ 1) แต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ 2) ไม่ควรสนทนาหรือหยอกล้อกัน 3) ต้องให้เกียรติผู้สอนหรือผู้บรรยาย 4) เมื่อจะถาม ควรยกมือขออนุญาต 5) ต้องรักษากติกาหรือระเบียบที่วางไว้ในห้องเรียนหรือห้องบรรยายอย่างเคร่งครัด
1.6 มารยาทในที่ประชุม เมื่ออยู่ในห้องประชุม ควรรักษากิริยามรรยาทให้เรียบร้อย ดังนี้ 1) แต่งกายให้ถูกกาลเทศะ 2) ขณะที่ผู้อื่นกำลังแสดงความคิดเห็นไม่ควรพูดสอดแทรกขึ้นมา 3) ต้องให้เกียรติแก่คนอื่น 4) ก่อนพูดควรขอประธานในที่ประชุม และพูดให้รัดกุม 5) หากจำเป็นต้องออกจากห้องประชุมก่อนกำหนด ควรขออนุญาตจากประธานก่อน
2. ศาสนพิธี
2.1 การทอดกฐิน คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง หรือหมายเอาผ้าจีวรหรือผ้าขาว แต่การทอดกฐิน หมายถึง การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างน้อย 5 รูป โดยไม่ต้องระบุว่าจะถวายแก่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง
วัตถุประสงค์และความสำคัญของการทอดกฐิน 1) เป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์ยิ่งกว่าการทำบุญอื่น ๆ 2) เป็นการถวายความอุปถัมภ์แก่พระสงฆ์ให้มีเครื่องใช้สับเปลี่ยนในการซ่อมแซมบูรณะวัดวาอาราม 3) เป็นการสืบต่อประเพณีทางพระพุทธศาสนา 4) เปิดโอกาสให้ชาวพุทธได้ทำบุญ
ข้อปฏิบัติในการทอดกฐิน 1) กำหนดระยะเวลาทอดกฐิน เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 2) วัดหนึ่งจะรับผ้ากฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้ง 3) วัดที่จะรับกฐินได้ต้องมีพระสงฆ์จำพรรษาครบ 3 เดือน (ให้ดูคำถวายผ้ากฐิน หน้า 84 ด้วย)
2.2 การทอดผ้าป่า ผ้าป่า หมายถึง ผ้าที่ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าที่เขาวางทิ้งอยู่ตามป่า ป่าช้า หรือพาดอยู่ตามกิ่งไม้ การทอดผ้าป่ามีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล การทอดผ้าป่ามีอานิสงส์เช่นการทอดกฐิน แต่ว่าในการปฏิบัตินั้น แตกต่างกัน การทอดผ้าป่าสามารถทอดได้ตลอดปี ไม่เจาะจงภิกษุผู้รับ แต่ต้องมีผ้าบังสกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น ความหมายเดิม) 1 ผืน
3. วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนามีอยู่ 5 วัน คือ 1) วันวิสาขบูชา 2) วันมาฆบูชา 3) วันอาสฬหบูชา 4) วันเข้าพรรษา 5) วันออกพรรษา แต่ละวันมีความเป็นมาและความสำคัญที่แตกต่างกันต่อชาวพุทธ ดังนี้
1) วันวิสาขบูชา เป็นวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 ถือว่าเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้ามากที่สุด เป็นวันประสูติ ตรัส และปรินิพพาน
2) วันมาฆบูชา เป็นวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 3 ถือว่าเป็นวันพระธรรม เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงหลักธรรมที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “โอวาทปาฎิโมกข์” และถือว่าเป็นวัน “จาตุรงคสันนิบาต” คือวันที่มีการประชุมแห่งองค์ 4 ได้แก่ 1) พระอรหันตสาวกจำนวน 1,250 รูปมาประชุมกัน 2) พระอรหันตสาวกเหล่านั้นเป็นผู้พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ 3 ) พระอรหันตสาวกเหล่านั้นมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย 4) เป็นมาฆปุรมณี คือวันเพ็ญเดือน 3
3) วันอาสาฬหบูชา คือวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 8 ถือว่าเป็นวันพระสงฆ์ เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก เป็นวันที่พระสงฆ์เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก และเป็นวันที่มีพระรัตนตรัยครบทั้ง 3 ในวันสำคัญ เราควรปฏิบัติตนอยู่ในความดีไม่ทำความชั่ว และเข้าร่วมพิธีกรรมด้วยฯ




