สรุปบทเรียนที่ 3 เรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2
1. พรหมวิหาร 4
พรหมวิหารธรรม หมายถึง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม ได้แก่ ธรรมประจำใจของผู้เป็นใหญ่ หรือที่เป็นหัวหน้าคนอื่น
มี 4 ประการ คือ 1. เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข 2. กรุณา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
3. มุทิตา คือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี 4. อุเบกขา คือ ความวางเฉยเที่ยงธรรม
อธิบายความพรหมวิหาร 4
1. เมตตา ควรปฏิบัติในเวลาปกติในเหตุการณ์ทั่วไป มีจิตคิดกับผู้อื่นในแง่ดี ตั้งความปรารถนาต่อผู้อื่นเสมอ
2. กรุณา ควรปฏิบัติต่อผู้อื่น เมื่อเห็นเขาประสบความทุกข์ร้อน ขวนขวายให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลแก่เขา
3. มุทิตา ควรปฏิบัติในเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี โดยการแสดงความยินดี ปรารถนาให้เขามีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
4. อุเบกขา ควรปฏิบัติในเมื่อเห็นผู้อื่นถึงวิบัติ และหมดทางช่วยเหลือใด ๆ ได้แล้ว โดยวางเฉยทำใจเป็นกลางๆ
คุณประโยชน์ของพรหมวิหารธรรม 4
1. ย่อมผูกมิตรได้มาก เวลากระทำกิจกรรมใด ๆ หรือไปไหน ย่อมได้รับการต้อนรับจากผู้อื่นเสมอ 2. ย่อมเป็นผู้มองการณ์ไกล เป็นคนมีเหตุผล มีจิตใจเยือกเย็นสุขุม 3. เป็นการส่งเสริมให้เรามีคุณธรรมอื่น ๆ อีก 4. ทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้า สงบสุข 5. ถ้าผู้นำมีคุณธรรมข้อนี้ ย่อมนำความเจริญมาสู่ประเทศชาติ หน่วยงาน องค์กร ตลอดจนผู้ร่วมงานด้วย
2. สังหวัตถุ 4
สังคหวัตถุ หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น หรือมิตรสหายเพื่อนฝูง โดยการสงเคราะห์ผู้อื่นตามฐานะเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข มี 4 ประการ คือ
1. ทาน การให้แก่คนที่ควรให้ 2. ปิยวาจา การเจรจาถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน
3. อัตถจริยา การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น 3. สมานัตตตา ปฏิบัติตนสม่ำเสมอตามฐานะของตน
อธิบายความสังคหวัตถุ 4
1. ทาน หมายถึง การให้สิ่งของหรือความคำแนะนำตักเตือนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น คุณธรรมนี้ จะช่วยให้เราเป็นคนไม่ละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งในการให้ต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ 3 อย่างคือ 1. ให้แก่คนที่ควรให้ 2. ให้ในสิ่งที่ควรให้ 3. ให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ สำหรับการให้นั้น มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. ให้วัตถุสิ่งของ เรียกว่า อามิสทาน 2. ให้ความรู้ คำแนะนำสั่งสอน เรียกว่า ธรรมทาน 3. ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่เบียดเบียน และประทุษร้าย เรียกว่า อภัยทาน
2. ปิยวาจา หมายถึง การเจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน จิรงใจ และเป็นประโยชน์ เหมาะสมกับกาลเทศะ เว้นคำพูดที่ประชด คำกระทบกระเทียบ คำแดกดัน คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ นินทา เพราะคำพูดเหล่านี้พูดแล้วจะทำให้คนโกรธ เกลียด ไม่สบายใจ เป็นการทำลายความน่ารักน่านับถือของตัวผู้พูด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นคนขาดการอบรม ทำให้เสียไปถึงสถาบันและวงศ์ตระกูล
3. อัตถจริยา หมายถึง การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ได้แก่ การทำตนให้เป็นประโยชน์ คือ การสร้างคุณสมบัติให้มีในตน เช่น การตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หรือการช่วยเหลือกิจกรรมของเพื่อนฝูง ฯลฯ และการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง นอกจากนี้ ยังต้องปฏิบัติตนอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 อย่างด้วย
4. สมานัตตตา หมายถึง การมีตนสม่ำเสมอตามฐานะ การประพฤติปฏิบัติตามฐานะของตนให้เหมาะสม เช่น เมื่อเป็นผู้น้อยต้องมีความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เสมอ ผู้ใหญ่ต้องมีความเอ็นดู เป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช้อำนาจดูหมิ่นผู้น้อย คุณธรรมนี้ จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่น ทำตนเสมอต้นเสมอปลายเป็นที่น่าคบหาของบุคคลอื่น
ประโยชน์ของสังคหวัตถ 4
1. มีธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ทำความชั่ว
2. ย่อมได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อมีความเดือดร้อน
3. ผู้อื่นให้ความนับถือ ไว้วางใจ น่าเคารพ
4. ผู้อื่น อยากคบเป็นเพื่อน
5. ช่วยทำให้สังคมมีระเบียบเรียบร้อย
6. ช่วยลดปัญหาสังคม
3. ฆราวาสธรรม 4
ฆราวาสธรรม หมายถึง ธรรมของฆราวาสซึ่งแนวทางหรือข้อปฏิบัติสำหรับบุคคลผู้อยู่ครองเรือน ซึ่งหมายถึงคฤหัสถ์หรือบุคคล ทั่ว ๆ ไป ฆราวาส หมายถึง ผู้ครองเรือน ได้แก่ชาวบ้านทั่วไป ฆราวาสธรรม มี 4 ประการ คือ
1) สัจจะ การรักษาความสัตย์ 2) ทมะ การข่มใจตนเอง 3) ขันติ ความอดทน 4) จาคะ การเสียสละ
อธิบายหลักฆราวาสธรรม 4
1. สัจจะ ได้แก่ ความจริงใจ การรักษาความสัตย์ การพูดจริงทำจริง ซึ่งแสดงออกได้ 5 ทาง คือ
- ความจริงใจต่อตนเอง หมายถึง การซื่อสัตย์ต่อตนเอง มีศีลธรรมประจำใจ มีความละอายใจ
- วามจริงใจต่อบุคคลอื่น หมายถึง มีความซื่อตรงจริงใจ ประพฤติดี ปฏิบัติดี อย่างตรงไปตรงมากับบุคคลอื่น
- ความจริงใจต่อหน้าที่การงาน หมายถึง การปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความรับผิดชอบ ทำงานให้ดีทั้งงานของตนเองและผู้อื่น
- ความจริงใจต่อสัจวาจา หมายถึง การรักษาคำพูด คำมั่นสัญญา ปากกับใจตรงกัน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง
- ความจริงใจต่อประเทศชาติ หมายถึง การเคารพยึดมั่นในกฏระเบียบข้อบังคับของชาติ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญ
2. ทมะ ได้แก่ การฝึกฝนตนเอง และข่มใจตนเองในด้านต่าง ๆ ซึ่งได้แก่
- การฝึกฝนตนเอง หมายถึง รู้จักฝึกนิสัยให้รู้จักการแก้ไขข้อบกพร่อง เพื่อปรับปรุงตนให้เจริญก้าวหน้าหรือฝึกตนเองให้สำนึกอยู่ในเหตุผลและคุณธรรม
- การข่มใจตนเอง หมายถึง การยับยั้งจิตใจของตนเองมิให้หลงมัวเมาอยู่กับอบายมุข ฟุ้งซ่านทะยานอยากกับสิ่งที่ไม่ชอบ รวมทั้งรู้จักควบคุมอารมณ์มิให้โกรธง่าย หรือเกลียดง่าย
3. ขันติ ได้แก่ ความอดทนต่อความยากลำบากต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีแนวปฏิบัติอยู่ 4 ประการ คือ
1. การอดทนต่อความลำบาก หมายถึง การมีจิตใจเข้มแข็งพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
2. การอดทนต่อความทุกข์ หมายถึง ให้อดทนต่อความเจ็บป่วยที่ตนเองได้รับ
3. การอดทนต่อความไม่พอใจ ความเจ็บใจ หมายถึง การอดทนที่จะไม่กระทำการโต้ตอบเมื่อถูกด่า ถูกรังแก ถูกนินทา หรือถูกผู้อื่นยั่วยุ
4. การอดทนต่ออำนาจกิเลส หมายถึง อดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามายั่วยวนชวนให้หลงไหล หมกมุ่น มัวเมา
4. จาคะ หมายถึง ความเสียสละ มีจิตใจกว้างขวาง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งมี 2 ประการ คือ
- สละวัตถุสิ่งของ คือ สละทรัพย์สินของตนเองเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือเพื่อสาธารณะประโยชน์
- สละอารมณ์ คือ เป็นคนรู้จักปล่อยอารมณ์ที่จะให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว และเป็นข้าศึกต่อความสงบทางใจ
ประโยชน์ของฆราวาสธรรม 4
- ทำให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่า เป็นผู้มีความจริงใจรักษาคำสัตย์ ผู้อื่นให้ความเคารพนับถือ
- ทำให้อยู่ร่วมกับคนในครอบครัวและสังคมอย่างมีความสุข ปราศจากความขัดแย้ง บาดหมางกัน
- ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงจากความเสื่อมทั้งหลายได้ เพราะมีจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง อดทน
- ทำให้สังคมมีความสงบสุข เจริญก้าวหน้า มีความเป็นระเบียบวินัยดี
4. อบายมุข 4
อบายมุข หมายถึง ทางแห่งความเสื่อม หรือช่องทางที่จะพาคนไปสู่ความเสื่อมเสีย เป็นเหตุแห่งความฉิบหาย ที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรปฏิบัติ มี 4 ประการ คือ
1 ) การเป็นนักเลงหญิง 2 ) การเสพสิ่งเสพติด 3 ) การเล่นการพนัน 4 ) การคบคนชั่วเป็นมิตร
อธิบายความอบายมุข 4
1. การเป็นนักเลงหญิง ข้อนี้ หมายถึงการเป็นนักเลงชายด้วย หมายถึง การเป็นคนเจ้าชู้ ปล่อยตัวให้เป็นทางของอารมณ์รัก ชอบเที่ยวตามสถานบันเทิง เที่ยวกลางคืน ไม่สนใจการเรียน ไม่สนใจการงาน คิดหมกมุ่นคำนึงถึงแต่เพศตรงข้าม มีความประพฤติไม่เหมาะสมทางเพศ ข้อนี้ มีโทษถึง 6 อย่าง ได้แก่ 1. เป็นผู้ไม่รักษาตัวเอง 2. เป็นการไม่รักบุตรภรรยาครอบครัว 3. เป็นการไม่รักษาทรัพย์สมบัติ 4. เป็นที่ระแวงของคนทั่วไป 5. มักถูกใส่ความ 6. ได้รับแต่ความลำบากเดือนร้อนต่าง ๆ
2. การเสพสิ่งเสพติด หมายถึง การติดสิ่งที่มึนเมาต่าง ๆ และยาเสพติดให้โทษอื่นๆ เช่น สุรา ฝิ่น กัญชา มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาบ้า ยาอี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ จะก่อให้เกิดความประมาท ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษ 6 ประการ ได้แก่ 1. ทำให้เสียทรัพย์ 2. ก่อการทะเลาะวิวาท 3. เป็นบ่อเกิดของโรค 4. คนติเตียนทำให้เสียชื่อเสียงเกียรติยศ 5. ไม่รู้จักอาย 6. บั่นทอนกำลังสติปัญญา
3. การเล่นการพนัน หมายถึง การมีใจหมกมุ่นอยู่กับการพนันทุกประเภท ชอบเล่นเพื่อหาทรัพย์ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความหายนะ
แก่ผู้เล่น ก่อให้เกิดโทษเหล่านี้ 1. เมื่อชนะยอมถูกจองเวร 2. เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ 3. ทรัพย์ที่มีอยู่ย่อมสูญเสีย 4. ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ 5. เพื่อนฝูงดูหมิ่น 6. ไม่มีใครอยากคบเป็นคู่ครอง
4. การคบคนชั่วเป็นมิตร หมายถึง การอยู่ใกล้ชิดหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมกับคนไม่ดี เช่น คนไม่ซื่อสัตย์ เป็นนักเลงอันธพาล คนประพฤติทุจริตผิดกฏหมายบ้านเมือง เป็นต้น การคบคนประเภทนี้จะมีแต่ความเสื่อมเสีย ถูกหลอกลวง เสียทรัพย์สินเงินทองที่ไร้ประโยชน์ การคบคนชั่วเป็นมิตรจะก่อให้เกิดโทษตามบุคคลที่คบ 6 ประเภท คือ 1. ทำให้เป็นนักเลงการพนัน 2. ทำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ 3. ทำให้เป็นนักเลงสุรา 4. ทำให้เป็นคนลวงเข้าด้วยของปลอม 5. ทำให้เป็นคนลวงเขาซึ่งหน้า 6. ทำให้นักเลงหัวไม้ ดื้อดึง หัวแข็ง
คุณประโยชน์ของการละเว้นจากอบายมุข 4
1. ไม่เสียทรัพย์ไปโดยเปล่าประโยชน์ 2. ไม่หมกมุ่นในสิ่งที่หาสาระมิได้ 3. ประกอบหน้าที่การงานได้เต็มที่ 4. ชีวิตไม่ตกต่ำ 5. เป็นที่รักใคร่และไว้วางใจของผู้อื่น 6. มีพลานามัยสมบูรณ์ 7. ประกอบหน้าที่การงานด้วยความสุจริตใจ




