รวมปัญหา ถาม ตอบ ธรรมะ

      ปิดความเห็น บน รวมปัญหา ถาม ตอบ ธรรมะ

ปัญหาศีลธรรม

ระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น

ฉบับเตรียมสอบตอบปัญหาศีลธรรม

  1.  ดินแดนแห่งพุทธองค์ เดิมเรียกว่า         ชมพูทวีป
  2. ชมพูทวีป ในปัจจุบันนี้เรียกว่า               อินเดีย
  3. ในชมพูทวีปพวกเจ้าของถิ่นเดิม             เรียกว่า  พวกมิลักขะ
  4. ในชมพูทวีปพวกที่เข้ามาอยู่ใหม่            เรียกว่า  พวกอริยกะ
  5. ในชมพูทวีปนั้น แบ่งออกเป็น    จังหวัด  คือ   มัชฌิมชนบท   และ          ปัจจันตชนบท
  6. มัชฌมิชนบท เป็นที่อยู่ของพวก   อริยกะ            ปัจจันตชนบท    เป็นที่อยู่ของพวก             มิลักขะ
  7. ในชมพูทวีแบ่งคนออกเป็น จำพวก เรียกว่า     วรรณะ
  8. คำว่า วรรณะ  ในชมพูทวีป       หมายถึง            ระบบชนชั้นของคน
  9. วรรณะทั้ง ๔ นั้น คือ   กษัตริย์  พราหมณ์  แพศย์  ศูทร
  10. คนต่างวรรณะสมสู่กัน(แต่งงานกัน) มีลูก ๆ ที่เกิดมา      เรียกว่าวรรณะ    จัณฑาล
  11. ทิฏฐิ(ความคิดเห็น)ของคนในครั้งนั้น มี    ลักษณะ คือ   ตายแล้วเกิด  ตายแล้วสูญ
  12. ชมพูทวีปในสมัยนั้น คนส่วนมากนิยมนับถือศาสนา       พราหมณ์
  13. คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า        ไตรเพท
  14. ผู้สร้างนครกบิลพัสดุ์  คือ        พระราชบุตร พระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราช
  15. คำว่า  สกสังวาส        หมายความว่า     การอภิเษกสมรสกันเองระหว่างพี่น้อง
  16. พระเจ้าสีหนุ และพระนางกาญจนา     เป็น พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า ของพระพุทธเจ้า
  17. พระเจ้าสุทโธทนะ     เป็นพระราชโอรสของ     พระเจ้าสีหนุ
  18. เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงตัดพระเมาลี ณ ที่ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
  19. พระนามว่า  สิทธัตถะ  มีความหมายว่า             มีความสำเร็จในสิ่งที่พึงประสงค์
  20. อสิตดาบส  มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า                  กาฬเทวินดาบส
  21. พระเจ้าสุทโธทนะ มีราชโอรสธิดาอีก ๒ พระองค์ คือ  นันทกุมาร และ รูปนันทา
  22. ดาบสที่ได้ชื่อว่าเป็นกุลุปฐาก เป็นที่นับถือของพระเจ้าสุทโธทนะ คือ       อสิตดาบส
  23. สิทธัตถราชกุมาร ได้ปฐมฌาน เมื่อครั้ง            ทำพิธีแรกนาขวัญ
  24. มูลเหตุอะไร ที่ทำให้สิทธัตถกุมารออกบรรพชา             ทรงเห็นเทวทูต ๔
  25. เทวทูต ๔ คือ            คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ
  26. สิทธัตถกุมาร เสด็จออกบรรพชาด้วยตนเอง  เรียกว่า      บวชด้วยการอธิษฐานเพศ
  27. ผ้ากาสายะ หรือผ้ากาสาวะ คือผ้า         ที่ย้อมด้วยน้ำรสฝาด สีเหลืองหม่น
  28. เมื่อสิทธัตถะออกบวชนั้น  ทรงได้ผ้าและบาตรจากใคร   ฆฏิการพรหมนำมาถวาย
  29. คำว่า           บรรพชิต            แปลว่า   ผู้เว้นจากการทำความชั่ว ด้วยกาย วาจา ใจ
  30. คำว่า           สมณะ               แปลว่า  ผู้สงบ (คือมีกายวาจาใจสงบ)
  31. คำว่า           ภิกษุ                  แปลว่า   ผู้ขอ หรือ ผู้เห็นภัย (ในสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด)
  32. คำว่า           พระ                  แปลว่า   ผู้ประเสริฐ (คือมีกาย วาจา ใจประเสริฐ)
  33. คำว่า           พระมหาบุรุษ     แปลว่า   บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ (ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่คือความหลุดพ้น)
  34. คำว่า           พระโพธิสัตว์      แปลว่า   ผู้ข้องอยู่ในการตรัสรู้(ผู้บำเพ็ญบารมีธรรมก่อนตรัสรู้)
  35. คำว่า           เสด็จออกมหาภิเนษกรมษณ์          หมายความว่า     เสด็จออกบวช
  36. คำว่า           ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาเทศนาโปรด เป็นคำพูดของ             พระเจ้าพิมพิสาร
  37. คณาจารย์ใหญ่ที่เสด็จไปศึกษาถึงลัทธิต่าง  ๆ คือ           อาฬารดาบส และ อุทกดาบส
  38. ทรงศึกษาในสำนักของอาจารย์ทั้งสอง  ได้สำเร็จ            สมาบัติ ๘
  39. คำว่า           ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา       หมายความว่า     ทรมานพระกายให้ลำบาก
  40. คำว่า           ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์       หมายความว่า     เอาฟันกดฟันไว้ (กัดฟัน)
  41. คำว่า           กดพระตาลุด้วยพระชิวหา             หมายความว่า     เอาลิ้นกดเพดานปากไว้
  42. การบำเพ็ญทุกรกิริยา  วาระที่ ๑            กดพระทนต์ด้วยพระทนต์  กดพระตาลุด้วยพระชิวหา
  43. การบำเพ็ญทุกรกิริยา วาระที่ ๒           ผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ(หายใจเข้าหายใจออก)
  44. การบำเพ็ญทุกรกิริยา วาระที่ ๓           อดพระอาหาร
  45. สาเหตุที่ทำให้เลิกการทำทุกรกิริยา เพราะ         เกิดอุปมา ๓ ข้อ เปรียบเทียบ(ได้ความคิด)
  46. ในขณะที่บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่นั้น มีใครคอยเฝ้าปฏิบัติ     พวกเบญจวัคคีย์
  47. เบญจวัคคีย์ มีใครบ้าง            โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ
  48. ในเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นั้น ปรากฏว่าต่อมาได้เป็นปฐมสาวก ชื่อว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ
  49. คำว่า  ปฐมสาวก       ความหมายว่า     สาวกองค์แรก (คือพระอัญญาโกณฑัญญะ)
  50. คำวา  ปัจฉิมสาวก     หมายความว่า     สาวกองค์สุดท้าย (คือ พระสุภัททะ)
  51. คำว่า  พุทธอุปัฏฐาก   หมายถึง            พระอานนทเถระ
  52. คำว่า  อัตตกิลมถานุโยค          หมายความว่า     การทำตนให้ลำบาก(ทรมานตน)
  53. คำว่า  กามสุขัลลิกานุโยค        หมายความว่า     การทำตนให้หมกหมุ่นติดอยู่ในความสุข(กาม)
  54. ทั้ง อัตตกิลมถานุโยค และ กามสุขัลลิกานุโยค เรียกชื่อว่า ที่สุดโต่ง ๒ อย่าง
  55. ที่สุด ๒ อย่างนี้ ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุหมกหมุ่น  เพราะ  ไม่ใช่หนทางตรัสรู้
  56. หนทางที่ทรงอนุญาตนั้น        เรียกว่า  มัชฌิมปฏิปทา (ทางสายกลาง)ทางแห่งการตรัสรู้
  57. สถานที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา คือ         ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
  58. นับตั้งแต่บรรพชา จนถึงตรัสรู้ เป็นระยะเวลา ๖ ปี เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ ปี
  59. ตรัสรู้ในวัน วิสาขะ   ที่          ใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์(ต้นโพธิ์)  ก่อนพุทธศก        ๔๕       ปี
  60. พุทธศักราช หรือ พ.ศ. เริ่มนับตั้งแต่                 หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเป็นต้นไป
  61. พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร    อริยสัจ ๔           คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
  62. ในปฐมยาม  ทรงบรรลุ           ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (คือ ระลึกชาติหนหลังได้)
  63. ในยามที่ ๒ ทรงบรรลุ            จุตูปปาตญาณ                (คือ การรู้การเกิดและดับของสัตว์ทั้งหลาย)
  64. ในปัจฉิมยา ทรงบรรลุ           อาสวักขยญาณ               (คือ การทำอาสวะ(กิเลส)ให้หมดสิ้น)
  65. ข้าวมธุปายาส ได้แก่  ข้าวสุก  ที่หุงด้วยน้ำนมโคล้วน
  66. บิณฑบาต ที่มีผลมากมีอานิสงส์มาก คราว คือ ปฐมบิณฑบาต ปัจฉิมบิณฑบาต
  67. ปฐมบิณฑบาต คือ    ข้าวมธุปายาส ที่นางสุชาดาถวายก่อนตรัสรู้
  68. ปัจฉิมบิณฑบาต คือ  สุกรมัททวะ    ที่นายจุนทะโกมารบุตรถวายก่อนจะปรินิพพาน
  69. บิณฑบาตทั้ง ๒ ครั้งนี้ พระพุทธองค์ตรัสบอกใครไว้      พระอานนทเถระ
  70. ก่อนตรัสรู้ทรงรับหญ้าคาจากพราหมณ์ ชื่อว่า    โสตถิยะ
  71. ธรรมเนียมใช้หญ้าคายังติดมาจนทุกวันนี้ สังเกตได้จากพิธี         ประพรมน้ำพระพุทธมนต์
  72. บารมี ๑๐ ทัศ ได้แก่   ทาน ศีล เนกขัมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
  73. บารมี หรือ บารมีธรรม แปลว่า            การสั่งสมความดี
  74. ในขณะที่สั่งคมความดี หรือสร้างบารมีอยู่นั้น เรียกว่า    พระโพธิสัตว์
  75. เนมิตตกะนาม          คือ พระนามว่า   อรหํ  และ  สมฺมาสมฺพุทฺโธ
  76. คำว่า  อรหํ  แปลว่า     ผู้ถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาสวะ
  77. คำว่า  สมฺมาสมฺพุทฺโธ            แปลว่า   ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
  78. ปฐมเทศนา คือ         พระธรรมเทศนาครั้งแรก           มีชื่อว่า      ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
  79. เนื้อความในธัมมจักกัปปตนสูตร กล่าวถึง         สิ่งที่บรรพชิตไม่ควรเสพ(ประพฤติปฏิบัติ) เรียกว่า          ที่สุด หรือที่สุดโต่ง          มี อย่าง          คือ        อัตตกิลมถานุโยค ได้แก่  การทำตน(ทรมาน)ให้ลำบาก  และ  กามสุขัลลิกานุโยค ได้แก่  การหมุกหมุ่นในกามสุขแล้วทรงชี้หนทางที่ควรเสพ(ประพฤติปฏิบัติ) คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
  80. เมื่อตรัสรู้แล้ว ประทับเสวยวิมุตติสุข ที่ไหน     ภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ๗ วัน
  81. คำว่า   เสวยวิมุตติสุข ได้แก่    ความสุขที่เกิดจากความหลุดพ้นจากกิเลส
  82. คำว่า           ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ๆ นั้น คือ      เหตุเกิดและดับ ที่อาศัยกันและกัน
  83. ปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกชื่อว่า ปัจจยาการ (เหตุปัจจัยที่อาศัยกันดุจลูกโซ่)
  84. สัปดาห์ที่ ๑ ทรงพิจารณา       ปฏิจจสมุปบาท   ที่          ใต้ต้นมหาโพธิ์
  85. สัปดาห์ที่ ๒ ทรงพบพราหมณ์ หึ หึกชาติ ทูลถามปัญหาอะไร      ลักษณะพราหมณ์ ธรรมะที่ทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์    ที่    ภายใต้ร่มไม้ชื่อว่า            อชปาลนิโครธ
  86. ศีวาราตรี      คือ        พิธีลอยบาปของพราหมณ์
  87. สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปยังไม้จิก  ซึ่งเรียกวา          มุจจลินท์
  88. สัปดาห์ที่ ๔ พบพาณิช ๒ คน ชื่อ  ตปุสสะ  ภัลลิกะ  ที่   ไม้เกต ราชายตนะ
  89. พาณิช ๒  คน ได้รับผล คือ     เป็นอุบาสกคนแรก ที่ถึงรัตนะ ๒ (พระพุทธ พระธรรม)
  90. อนิมิสเจดีย์ คือสถานที่           ที่พระพุทธเจ้ายืนจ้องดูพระมหาโพธิ์โดยมิได้กระพริบพระเนตร
  91. ทรงเนรมิตที่จงกรมขึ้น ระหว่างต้นโพธิ์กับอนิมิสเจดีย์ สถานที่นั้นเรียกว่า  รัตนจงกรมเจดีย์
  92. สถานที่ทรงพิจารณาอภิธรรมปิฎก เรียกว่า        รัตนฆรเจดีย์
  93. อาศัยอะไร ครั้งแรกจึงไม่ปรารถนาจะสั่งสอนธรรมแก่เวไนยสัตว์  พระมหากรุณา
  94. พระมหากรุณาคุณ  นี้ท่านเปรียบเป็นปุคลาธิษฐานเหมือนใคร  ท้าวมหาพรหมทูลเชิญให้แสดงธรรม
  95. มีหลักฐานอะไรเป็นเครื่องอ้าง  คำอาราธนาธรรม(พฺรหฺมา จ โลกาธิปฺปตี สหมฺปติ)
  96. บุคคล ๔ เหล่า คือ     อุคฆติตัญญุ  วิปจิตัญญู  เนยะ  ปทปรมะ
  97. อุคฆติตัญญู      เปรียบเหมือน บัวที่พ้นน้ำ         สามารถที่จะ       ตรัสรู้เร็วพลัน
  98. วิปจิตัญญู        เปรียบเหมือน บัวที่เสมอน้ำ  สามารถที่จะรู้ แต่ต้องอธิบาย
  99. เนยยะ เปรียบเหมือน บัวที่อยู่กลางน้ำ สามารถที่            จะตรัสรู้ได้ ต้องแนะนำมากหน่อย
  100. ปทปรมะ  เปรียบเหมือน บัวที่อยู่ใต้น้ำในเปือกในตม  มีแต่จะ   เป็นอาหารของปลาและเต่า
  101. ครั้งแรกที่ปรารภจะแสดงธรรม ทรงนึกถึงใครก่อน      อาฬารดาบส อุทกดาบส
  102. ต่อมาทรงนึกถึง      เบญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ คน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ
  103. ธรรมที่ทรงแสดงโปรดเบญจวัคคีย์  มีชื่อว่า    ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
  104. ธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ แสดงที่ไหน  ป่าอิสิปตนมฤคทาวัน แขวงเมืองพาราณสี
  105. ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ได้รับผล  คือ โกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม
  106. โกณฑัญญะ เรียกว่าเป็น       ปฐมสาวก          และเป็น สังฆรัตนะ         บังเกิดขึ้นครบ ๓
  107. วันพระพุทธ ได้แก่วัน          วิสาขบูชา (วันที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
  108. วันพระธรรม ได้แก่วัน         มาฆะบูชา (วันที่ประชุมสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์แล้วประกาศหลักธรรม)
  109. วันพระสงฆ์ ได้แก่วัน          อาสาฬหบูชา (วันที่อริยสงฆ์เกิดขึ้นในโลกเป็นองค์แรก)
  110. การบวชของท่านโกณฑัญญะ เรียกว่า            เอหิภิกขุอุปสัมปทา
  111. เบญจวัคคีย์ ได้ฟังธรรมเทศนาชื่ออะไร จึงบรรลุธรรมชั้นสูงพร้อมกัน  อนัตตลักขณสูตร
  112. อนัตตลักขณสูตร เป็นพระธรรมเทศนาที่ว่าถึงเรื่อง      รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
  113. คำว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เป็นคำอุทานของใคร      ยสะกุลบุตร
  114. ยสะกุลบุตร ได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ     อนุปุพพิกถา       และ       อริยสัจ
  115. อนุปุพพิกถา กล่าวถึงเรื่อง  การพรรณนาคุณของทาน ศีล สวรรค์ กามาทีนพ เนกขัมมานิสงส์   เป็นการพรรณนาไปตามลำดับ จากเบื้องต่ำไปหาเบื้องสูง จนเห็นอานิสงส์ในการออกบวช
  116. ยสะ  ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ    ได้รับผล ครั้งแรก            เป็นพระโสดาบัน
  117. ยสะ   ได้ฟังอนุปพพีกถาและอริยสัจ   ได้รับผล  ครั้งที่ ๒          เป็นพระอรหันต์
  118. บิดามารดาและภรรยาเก่า ได้ฟังแล้ว ได้รับผล คือ        เป็นอุบาสก อุบาสิกาคนแรกผู้ถึงรัตนะ ๓
  119. การถึงรัตนะ หรือการแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา     หมายความว่า     ผู้นั่งใกล้พระรัตนะ
  120. คำว่า  เทฺววาจิกอุบาสก        หมายถึง   อุบาสกผู้ถึงรัตนะ ๒ คือ พระพุทธ พระธรรม
  121. คำว่า  เตวาจิกอุบาสก           หมายถึง   อุบาสกผู้ถึงรัตนะ ๓ คือ  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
  122. การบวชในครั้งนั้นมี  ๒ วิธี คือ         เอหิภิกขุอุสัมปทา   และ   ติสรณคมนุปสัมปทา
  123. เอหิภิกขุอุปสัมปทา              หมายถึง            การอุปสมบท      ที่          พระบรมศาสดาบวชให้เอง
  124. ติสรณคมนุปสัมปทา            หมายถึง            การอุปสมบท      ที่          พระสาวกเป็นผู้บวชให้
  125. คำว่า แสวหาหญิงหรือแสวงหาตนดีกว่า เป็นคำพูดระหว่าง  พระพุทธเจ้า พวกภัททวัคคีย์
  126. พวกภัททวัคคีย์ ได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปุพพีกถา อริยสัจ ๔            จึงได้ดวงตาเห็นธรรม
  127. ชฎิล คือ นักบวชนอกศาสนา            นับถือลัทธิ         บูชาไฟ
  128. พระพุทธองค์โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง คือ            อุรุเวลกัสสปะ  นทีกัสสปะ  คยากัสสปะ
  129. พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงแก่พวกชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่า       อาทิตตปริยายสูตร
  130. อาทิตตปริยายสูตร คือพระสูตรที่ว่าด้วย          ราคะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นของร้อยยิ่งกว่าไฟ
  131. สาเหตุที่พระบรมศาสนาทรงเลือกเอาเมืองราชคฤห์  เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา คือ เป็นเมืองใหญ่  มีเจ้าลัทธิคณาจารย์มาก ถ้าปราบพวกเจ้าลัทธิลงได้ก็สามารถเผยแผ่ศาสนาได้
  132. วัดแห่งแรกในพุทธศาสนาชื่อ            วัดเวฬุวัน          ผู้สร้างถวายคือ    พระเจ้าพิมพิสาร
  133. อุปติสสะ   เป็นชื่อเดิมของ   พระสารีบุตร      โกลิตะ  เป็นชื่อเดิมของ   พระโมคคัลลานะ
  134. อุปติสสะ   กับ  โกลิตะ  เดิมเป็นศิษย์ในสำนักของ       สัญชัยปริพาชก
  135. อุปติสสะ ได้ฟังธรรมจาก     พระอัสสชิเถระ   จึงได้บรรลุคุณธรรมเบื้องต้น คือ   โสดาบัน
  136. พระโมคคัลลาะ ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศในทาง         มีฤทธิ์
  137. ใครได้ฟังธรรมจากเพื่อน จึงสำเร็จตามเพื่อน   โกลิตะมาณพ
  138. พระสารีบุตร  ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศในทาง            มีปัญญามาก
  139. พระเถระที่ได้รับยกย่องเปรียบเหมือนผู้ได้กำเนิด คือ   พระสารีบุตร
  140. พระเถระที่ได้รับยกย่องเปรียบเสมือนพี่เลี้ยงนางนม     คือ        พระโมคคัลลานะ
  141. พระสารีบุตร ได้สำเร็จพระอรหันต์ เพราะฟังธรรมเทศนาชื่อ    เวทนาปริคคหสูตร
  142. เวททนาปริคคหสูตร พระศาสดาทรงแสดงแก่             ทีฆนขปริพาชก   ที่          ถ้ำสุกรขาตา
  143. พระโมคคัลลานะ  สำเร็จพระอรหันต์ เพราะฟัง          อุบายแก้ง่วง       จาก       พระศาสดา
  144. ข้อว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบในหมด เป็นคำพูดของ           ทีฆนขะปริพาชก
  145. ทีฆนขะปริพาชก ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาว่า       เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง  ตามประทีปในที่มืด
  146. พระสารีบุตร ได้รับยกย่องว่าเป็นยอดของบุคคลกตัญญู เพราะ  นึกถึงอุปการคุณที่ราธะพราหมหณ์ใส่บาตรเพียงทัพพีเดียวได้
  147. บริษัท ๔ ได้แก่       ภิกษุ      ภิกษุณี   อุบาสก  อุบาสิกา
  148. ภิกษุผู้ได้รับยกย่องว่า           เป็นนวกัมมัฏฐายี     คือ   พระโมคคัลลานะ
  149. พระเถระที่ได้ชื่อว่ามีความเคารพในอาจารย์มาก  คือ    พระสารีบุตร สังเกตได้จาก  ทุกครั้งทีได้ข่าวว่าพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์อยู่ทางทิศใด  เวลานอนจะนอนศีรษะไปทางทิศนั้นเสมอ
  150. นครหลวงของแคว้นมคธ มีชื่อว่า      กรุงราชคฤห์
  151. แคว้นมคธ  มีการปกครองในระบอบ  ราชาธิปไตย   โดย           พระเจ้าพิมพิสาร
  152. พระบรมศาสดา ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ในแคว้น             มคธ
  153. เหตุผลที่พระบรมศาสดาทรงเลือกเอาแคว้นนั้น   เพราะ เป็นแคว้นใหญ่ มีเจ้าลัทธิคณาจารย์มากมาย เมื่อสามารถทำให้เจ้าลัทธิคณาจารย์นับถือได้ คนอื่น ๆ ก็จะนับถือ
  154. พระเจ้าพิมพิสาร เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่   ลัฏฐีวัน   พร้อมด้วยบริวาร ๑๒ ส่วน
  155. พระเจ้าพิมพิสารกับบริวาร ๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔  และอีก ๑ ส่วนได้รับผล คือ  ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์
  156. วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ  เวฬุวันมหาวิหาร  ผู้สร้างถวายคือ    พระเจ้าพิมพิสาร
  157. อัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า     คือ        พระมหาโมคคัลลานะ เลิศในทาง  มีฤทธิ์มาก
  158. อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า คือ   พระสารีบุตร   เลิศในทาง มีปัญญามาก
  159. พระสารีบุตร  พระมหาโมคคัลลานะ เป็นชาวเมือง         ราชคฤห์
  160. ปิปผลิมาณพ เป็นชื่อเดิมของ            พระมหากัสสปะ
  161. ปิปผลิมาณพ   ออกบวชเพราะ          เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือน
  162. ออกบวชด้วยลักษณะ คือ     บวชด้วยตนเองโดยอุทิศพระอรหันต์
  163. ปิปผลิมาณพได้พบพระพุทธเจ้า ที่     ใต้ร่มไทร   ชื่อว่า   พหุปุตตกนิโครธ  ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง ราชคฤห์ กับ นาลันทา
  164. เมื่อพบพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใส จึงทูลขอบวช พระพุทธเจ้าประทานการอุปสมบทให้โดยวิธีที่เรียกว่า             รับพระโอวาท ๓ ประการ
  165. การบวชของพระมหากัสสปะ สงเคราะห์เข้าในวิธีที่เรียกวา       เอหิภิกขุอุปสัมปทา
  166. ปิปผลิตมาณพ เมื่อบวชแล้ว เพื่อนสหธรรมิกเรียกท่านว่า          พระมหากัสสปะ
  167. คำว่า  เพื่อนสหธรรมิก  หมายถึง       ผู้ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน (ภิกษุสงฆ์)
  168. การบวชด้วยตนเองคล้ายกับธรรมเนียมของพราหมณ์ที่เรียกว่า   สันยาสี
  169. พระมหากัสสปะ บวชได้  ๘  วัน  จึงสำเร็จพระอรหัต และได้รับยกย่องว่าเลิศในทาง ถือธุดงค์  (ชอบใช้ผ้าบังสุกุล บิณฑบาตเป็นวัตร ชอบอยู่ในป่าเป็นวัตร)
  170. วันจาตุรงคสันนิบาต การทำขึ้นที่       เวฬุวนาราม       ตรงกับวัน          ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
  171. วันจาตุรงคสันนิบาต พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรม ที่เรียกว่า          โอวาทปาติโมกข์
  172. ใครเป็นต้นเหตุให้พระศาสดาทรงอนุญาตให้สร้างเสนาสนะถวายได้ คือ            ราชคฤหเศรษฐี
  173. เสนาสนะที่ทรงอนุญาต มี ๕ ชนิด    คือ (๑)วิหาร (๒) อัฑฒโยค (๓) ประสาท  (๔)หัมมิยะ  (๕)คูหา
  174. การทำบุญที่เรียกว่าปุพพเปตพลี         มีต้นเค้ามาจาก    ธรรมเนียมพราหมณ์
  175. การทำบุญที่เรียกว่าปุพพเปตพลี         หมายถึง            การทำบุญอุทิศให้คนตาย
  176. การทำปุพพเปตพลี เป็นการกระทำที่แสดงออกให้เห็นถึงคุณธรรม คือ   กตัญญูกตเวที
  177. การบวชที่พระบรมศาสนาประทานบวชให้ด้วยพระองค์เอง       เรียกว่า  เอหิภิกขุอุปสัมปทา
  178. พระเถระรูปแรกที่บวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ      พระอัญญาโกณฑัญญะ
  179. ต่อมาทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชให้  โดยให้เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง วิธีนี้เรียกว่า  ติสรณคมนุปสัมปทา
  180. ภายหลังยกเลิกการบวชแบบติสรณคมนุปสัมปทา และแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ทรงมอบให้สงฆ์บวชให้  การบวชชนิดนี้ เรียกว่า        ญัตติจตุตถกรรมวาจาอุปสัมปทา
  181. พระเถระรูปแรกที่บวชด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาอุปสัมปทา คือ            พระราธะ
  182. ผู้จะอุปสมบทต้องมีภิกษุผู้รับรอง       เรียกว่า  อุปัชฌายะ
  183. อุปัชฌายะที่บวชให้ราธะพราหมณ์ คือ           พระสารีบุตร
  184. ความเป็นประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด คือเรื่อง  การให้อุปสมบทกุลบุตร   ด้วยวิธีที่เรียกว่า ญัตติจตุตถกรรมวาจา
  185. คำว่า  สงฆ์  นั้น ต้องประชุมภิกษุพร้อมกัน ตั้งแต่  ๔ รูป ขึ้นไปจึงจะเรียกว่าสงฆ์
  186. ผู้ที่ทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ คือ    กาฬุทายีอำมาตย์
  187. คำว่า สหชาติกับพระพุทธเจ้า  นั้น  หมายความว่า  เกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า
  188. สหชาติ มี  ๗  อย่าง  ได้แก่  (๑)พระนามพิมพา (๒)พระอานนท์ (๓)นายฉันนะ (๔) กาฬุทายีอำมาตย์ (๕) ม้ากัณฐกะ (๖) ต้นโพธิ์ (๗) ขุมทรัพย์ทั้ง ๔
  189. พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ที่   นิโครธาราม
  190. พระพุทธเจ้าเสด็จจากกรุงราชคห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์        ทรงใช้เวลาเดินทาง ๒ เดือน
  191. ฝนโบกขรพรรษ ที่ตกลงมาในท่ามกลางหมู่ญาตินั้น ปรากฏว่ามีสี          แดง
  192. หลังจากฝนโบกขรพรรษตกแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงชาดก คือ        มหาเวสสันดรชาดก
  193. พระเจ้าสุทโธทนะ ได้สำเร็จเป็นพระโสดาปัตติผล เพราะฟังธรรม ชื่อ    สุจริตธรรม
  194. อนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นชาวเมือง  สาวัตถี    เดิมชื่อว่า     สุทัตต์
  195. สาเหตุที่ชื่อว่า อนาถปิณฑิกะ            เพราะ   เป็นคนใจบุญ มีก้อนข้าวสำหรับคนอนาถา
  196. อนาถปิณฑิกเศรษฐี เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่   สีตวัน   ได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปพพีกถาและอริยสัจ ๔ ได้รับผล  คือ          บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงแสดงตนเป็นอุบาสก
  197. อนาถปิณฑิกเศรษฐี ต่อมามีศรัทธาได้สร้างอารามถวายพระพุทธเจ้า ชื่อว่า          เชตวัน
  198. การปลงพระชนมายุสังขาร   หมายความว่า     การกำหนดวันปรินิพพาน(ตาย)
  199. พระพุทธองค์ ทรงทำการปลงอายุสังขาร ที่     ปาวาลเจดีย์
  200. วันปลงอายุสังขาร  ตามตำรากล่าวว่าตรงกันวัน            ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
  201. วันที่พระพุทธเจ้า  ทรงปลงอายุสังขาร เกิดเหตุอัศจรรย์             คือ        แผ่นดินไหว
  202. เหตุเกิดแผ่นดินไหว พระพุทธองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า มีด้วยกัน   ๘  ประการ
  203. สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงทำนิมิตโอภาส ให้พระอานนท์ทราบ มีทั้งหมด ๑๖ ตำบล
  204. นิมิตโอภาส ในเมืองราชคฤห์ มี   ๑๐  ตำบล    ในเมืองเวสาลี มี   ๖   ตำบล
  205. อภิญญาเทสิตธรรม  พระพุทธองค์ทรงแสดงที่             กูฏาคารศาลา  ป่ามหาวัน
  206. อภิญญาเทสิตธรรม ประกอบด้วยหลักธรรม   ๓๗  ประการ ได้แก่  สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔  อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘๙
  207. พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย       ที่เรียกว่านาคาวโลก  นั้น  หมายความว่า ทรงทอดพระเนตรแบบ มองอย่างช้างเหลียวหลัง
  208. อริยธรรม ๔ พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่         ภิกษุสงฆ์           ที่บ้าน    ภัณฑุคาม
  209. อริยธรรม ๔ ประการที่ทรงแสดง ได้แก่         ศีล  สมาธิ  ปัญญา  วิมุตติ
  210. ทีบ้านภัณฑุคาม พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรมว่าด้วยเรื่อง     ไตรสิกขา    มากที่สุด
  211. ไตรสิกขา   คือ        ศีล        สมาธิ    ปัญญา
  212. ปฏิปทาแห่งวิมุตติ พระองค์ทรงแสดงที่บ้านภัณฑุคามนั้น ได้แก่           ไตรสิกขา
  213. และตรัสสอบต่อไปว่า  วิมุตติ  เป็น   แก่น      แห่งพระธรรมวินัย
  214. มหาปเทส ๔ พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ขณะประทับอยู่ที่             อานันทเจีดย์   เขตโภคนคร
  215. มหาปเทส ๔ กล่าวถึงเรื่อง  ลักษณะที่จะตัดสินว่า  ใช่ธรรมะใช่วินัยของพระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่วินัยของพระพุทธเจ้า
  216. นายจุนทะ  เป็นบุตรของ       นายบ้านช่างทอง
  217. อาหารที่นายจุนทะถวายพระพุทธเจ้า เรียกว่า  สุกรมัททวะ
  218. อาหารชนิดนี้ ตามทางสันนิษฐาน ได้แก่         เห็ดหมูอ่อนในเมืองไทย
  219. สาเหตุที่พระพุทธเจ้ารับนั่งนายจุนทะ ให้นำสูกรมัททวะที่เหลือไปฝัง เพราะ      เป็นอาหารที่ย่อยยาก
  220. ผู้ที่นำผ้าสิงคิวรรณ เข้าไปถวายพระพุทธเจ้า คือ  ปุกกุสะ  เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันเมื่อครั้ง เสด็จไปทรงศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร
  221. ปุกกุสะ ได้ฟังธรรมเทศนา ชื่อ  สัตติวิหารธรรม  จึงเกิดความเลื่อมใสนำผ้าสิงคิวรรณเข้าไปถวาย
  222. บิณฑบาตทาน ที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า มีผลเท่ากัน มีอานิสงส์เท่ากัน มีด้วยกัน ครั้ง คือ (๑) บิณฑบาตที่พระตถาคตบริโภคแล้วตรัสรู้    (๒) บิณฑบาตที่ตถาคตบริโภคแล้วปรินิพพาน
  223. พระแท่นที่บรรทมปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ระหว่างต้น             สาละทั้งคู่ ผันที่สูงเบื้องพระเศียรไปทางทิศ         อุดร
  224. การบรรทมที่เรียกวา ทรงสำเร็จสีหไสยา นั้น คือการนอน         ตะแคงข้างขวา
  225. การบรรทมชนิดนี้ เรียกว่า  อนุฏฐานไสยา หมายถึง     ไม่ปรารถนาที่จะลุกขึ้นอีก
  226. บรรดาการบูชาทั้งหลาย การบูชาที่พระองค์ตรัสสรรเสริญ คือ   ปฏิบัติบูชา
  227. การบูชาที่จะยังพระศาสนาให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง คือ           ปฏิบัติบูชา
  228. สถานที่ชาวพุทธควรจะดู ควรจะเห็น ควรให้เกิดสังเวช เรียกว่า สังเวชนียสถาน
  229. สถานที่ควรดู ควรเห็น ควรสังเวช มี ๔ ตำบล คือ (๑)สถานที่พระสูติ (๒)สถานที่ตรัสรู้ (๓)สถานที่แสดงธรรมจักร (๔) สถานที่ปรินิพพาน
  230. สถานที่ประสูติ ในปัจจุบัน เรียกว่า    ตำบลรุมมินเด    อยู่ในประเทศ  เนปาล
  231. สถานที่ตรัสรู้ ในปัจจุบัน เรียกว่า       พุทธคยา            อยู่ในประเทศ     อินเดีย
  232. สถานที่แสดงปฐมเทศนา ในปัจจุบันเรียกว่า    สารนาท อยู่ในประเทศ อินเดีย
  233. สถานที่ปรินิพพาน ในปัจจุบัน เรียกว่า กุสินารา  อยู่ในประเทศ อินเดีย
  234. บุคคลที่ควรแก่การประดิษฐานไว้ในสถูป เรียกว่า        ถูปารหบุคคล
  235. บุคคลที่ควรแก่การประดิษฐานไว้ในสถูป มีด้วยกัน ๔ จำพวก  ได้แก่ (๑)พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า (๓) พระอรหันต์ (๔) พระเจ้าจักรพรรดิ์
  236. เมืองที่พระพุทธองค์เสด็จไปปรินิพพาน คือเมือง กุสินารา  เดิมชื่อว่า      กุสาวดี
  237. พระอรหันตสาวกองค์สุดท้าย ที่เรียกว่า สักขิสาวก นั้น  สุภัททปริพาชก
  238. คำว่า สักขิสาวก นั้น มีความหมายว่า  สาวกทันเห็นองค์สุดท้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
  239. สุภัททปริพาชก เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ที่ ป่าสาลวัน  เมือง  กุสินารา
  240. สุภัททปริพาชนก เข้าเฝ้าแล้วได้ทูลถามถึง       ติตถกรคณาจารย์ครูทั้ง ๖
  241. ครูทั้ง ๖ ที่สุภัททปริพาชกถามถึงนั้น คือ (๑)ปูรณกัสสปะ (๒)มักขลิโคสาล (๓) อชิตเกสกัมพล (๔) ปกุทธกัจจายนะ (๕) สัญชยเวลัฏฐบุตร (๖) นิครถนานฏบุตร
  242. พระพุทธองค์กลับทรงแสดงธรรม คือเรื่อง     มรรคาคือข้อปฏิบัติมีองค์ ๔ ประการ มีอยู่ในพระธรรมวินัยใด  สมณะที่ ๑ – ๒- ๓ -๔  ย่อมมีในพระธรรมวินัยนั้น
  243. คำว่า สมณะที่ ๑ – ๒- ๓ -๔  ในพระธรรมเทศนานั้น หมายถึง สมณะที่ ๑ ได้แก่ พระโสดาบัน สมณะที่ ๒ พระสกทาคามี  สมณะที่ ๓ ได้แก่ พระอนาคามี สมณะที่ ๔ ได้แก่ พระอรหันต์
  244. สุภัททปริพาชก เดิมเป็น      นักบวชนอกศาสนามาก่อน คือเป็นเดียรถีย์  จะบรรพชาอุปสมบท ต้องปฏิบัติตามวิธีที่เรียกว่า   ติตถิยปริวาส    ก่อนจึงจะบวชได้
  245.  การอยู่ปริวาสนั้น จะต้องอยู่    เดือน    สุภัททปริพาชกกลับขออยู่นานถึง ๔ ปี
  246. สุภัททปริพาชก  ได้บรรพชาอุปสมบทจาก      พระอานนท์
  247. เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ทรงมอบให้สงฆ์ยึดถือ  พระธรรมวินัย  เป็นศาสดาแทน
  248. วิธีลงพรหมทัณฑ์ พระองค์ทรงแนะพระสงฆ์ให้กระทำแก่   พระฉันนะ  ภายหลังปรินิพพานแล้ว
  249. วิธีลงพรหมทัณฑ์ ที่ทรงแนะนำนั้นคือ           ไม่ว่ากล่าว ไม่โอวาท ไม่สั่งสอน อย่างใดทั้งสิ้น
  250. พระโอวาที่ตรัสเตือนภิกษุสงฆ์เป็นครั้งสุดท้าย เรียกว่า             ปัจฉิมโอวาท
  251. คำสั่งสอนครั้งสุดท้าย พระองค์ตรัสเตือน คือ  ความไม่ประมาท
  252. พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานในวัน    อังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖  ก่อนพุทธศก  ๑ ปี
  253. พระอานนทเถระ ได้รับบัญชาจาก  พระอนุรุทธเถระ   ไปแจ้งข่าวปรินิพพานแก่มัลลกษัตริย์
  254. การปฏิบัติในพระพุทธสรีระ  รับสั่งให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน         พระเจ้าจักรพรรดิ์
  255. คำว่า บรรดาสัตว์ทั้งปวงในโลก  ล้วนจะต้องทิ้งร่างกายไว้ถมปฐพี เป็นคำกล่าวของท้าวสหัมบดีพรหม
  256. คำว่า  สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยงนั่น       เป็นคำกล่าวของ  ท้าวโกสิยเทวราช
  257. คำว่า พระพุทธเจ้า มีจิตมั่นคงในโลกธรรม ไม่หวั่นไหวสะทกสะท้านต่อมรณธรรมเป็นคำกล่าวของ     พระอนุรุทธเถระ
  258. พระมหากัสสปะ ได้ข่าวปรินิพพานจาก          อาชีวก ซึ่งถือดอกมณฑารพในระหว่างทาง
  259. พระมหาสมณโคดมปรินิพพานได้   วัน  พระมหากัสสปะจึงได้ข่าวคราวปรินิพพาน
  260. พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นานก็เกิดเสี้ยนหนาม คือ  หลวงตาสุภัททะ กล่าวจ้องจาบพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า โดยไม่เกรงขาม
  261. หลังจากถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าแล้ว  มีบางส่วนที่ไฟไม่ไหม้ คือ (๑)พระอัฐิ (๒)พระเกสา (๓)พระโลมา (๔) พระนขา (๕)พระทันตา กับ ผ้าคู่หนึ่ง
  262. วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า เรียกว่าวัน    วิสาขอัฏฐมีบูชา
  263. มัลลกษัตริย์เชิญพระสารีริกธาตุ ไปประดิษฐานที่         สัณฐาคารศาลา  เมือง     กุสินารา
  264. ผู้ที่จัดการแบ่งพระสารีริกธาตุ คือ      โทณพราหมณ์     ได้แบ่งออกเป็น            ส่วน
  265. โมริยกษัตริย์ เมืองปิปผลิวัน  ส่งทูตมาขอภายหลังได้    พระอังคาร(เถ้าถ่าน) ไปแทน
  266. เจดีย์ที่โมริยกษัตริย์ สร้างบรรจุส่วนที่เหลือจากพระสารีริกธาตุ เรียกว่า  อังคารเจดีย์
  267. เจดีย์ที่สร้างเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า มี   ๔  ประเภท คือ  (๑)ธาตุเจดีย์ สำหรับบรรจุพระสารีริกธาตุ  (๒) บริโภคเจดีย์ สำหรับบรรจุสมณบริขาร เช่น บาตร (๓) ธรรมเจดีย์ สำหรับบรรจุพระพุทธวจนะ(คัมภีร์) (๔) อุทเทสิกเจดีย์ สำหรับบรรจุพระพุทธรูป
  268. หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้    ๓    เดือน  จึงมีการสังคายนาพระธรรมวินัย
  269. คำว่า สังคายนา  หมายถึง   การร้อยกรอง รวบรวมพระธรรมวินัยให้เข้าเป็นหมวดหมู่
  270. การร้อยกรอง แบ่งออกเป็นหมวดได้   ๓  หมวด  เรียกว่า   พระไตรปิฎก
  271. ที่เป็นกฎระเบียบ ข้อบังคับ เรียกว่า  วินัยปิฎก
  272. ที่เป็นพระธรรมคำสอน ยกบุคคลเป็นอุทาหรณ์ เป็นนิทาน เรียกว่า         สุตตันตปิฎก
  273. ที่เป็นธรรมะล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคลหรือนิทาน  เรียกว่า  อภิธรรมปิฎก
  274. สังคายนา มีด้วยกันทั้งหมด ครั้ง   ในอินเดีย ครั้ง  ในลังกา ครั้ง
  275. ครั้งที่เผยแผ่มาถึงประเทศไทย เป็นครั้งที่ ๓  ผู้เป็นประธานอุปถัมภ์คือ    พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ที่นำพุทธศาสนาเข้าประเทศไทย คือ พระโสณะ กับ พระอุตตระ
  276. การสังคายนาที่มีการบันทึกจารึกลงในใบลาน  คือสังคายนาครั้งที่ ๕  กระทำที่ อาโลกเลณสถาน  ในมลัยชนบท ประเทศลังก

ดาวน์โหลดสื่อการสอน

เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ โปรดแชร์....