ปัญหาศีลธรรม
ระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น
ฉบับเตรียมสอบตอบปัญหาศีลธรรม
- ดินแดนแห่งพุทธองค์ เดิมเรียกว่า ชมพูทวีป
- ชมพูทวีป ในปัจจุบันนี้เรียกว่า อินเดีย
- ในชมพูทวีปพวกเจ้าของถิ่นเดิม เรียกว่า พวกมิลักขะ
- ในชมพูทวีปพวกที่เข้ามาอยู่ใหม่ เรียกว่า พวกอริยกะ
- ในชมพูทวีปนั้น แบ่งออกเป็น ๒ จังหวัด คือ มัชฌิมชนบท และ ปัจจันตชนบท
- มัชฌมิชนบท เป็นที่อยู่ของพวก อริยกะ ปัจจันตชนบท เป็นที่อยู่ของพวก มิลักขะ
- ในชมพูทวีแบ่งคนออกเป็น ๔ จำพวก เรียกว่า วรรณะ
- คำว่า วรรณะ ในชมพูทวีป หมายถึง ระบบชนชั้นของคน
- วรรณะทั้ง ๔ นั้น คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร
- คนต่างวรรณะสมสู่กัน(แต่งงานกัน) มีลูก ๆ ที่เกิดมา เรียกว่าวรรณะ จัณฑาล
- ทิฏฐิ(ความคิดเห็น)ของคนในครั้งนั้น มี ๒ ลักษณะ คือ ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ
- ชมพูทวีปในสมัยนั้น คนส่วนมากนิยมนับถือศาสนา พราหมณ์
- คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า ไตรเพท
- ผู้สร้างนครกบิลพัสดุ์ คือ พระราชบุตร พระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราช
- คำว่า สกสังวาส หมายความว่า การอภิเษกสมรสกันเองระหว่างพี่น้อง
- พระเจ้าสีหนุ และพระนางกาญจนา เป็น พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า ของพระพุทธเจ้า
- พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสีหนุ
- เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงตัดพระเมาลี ณ ที่ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
- พระนามว่า สิทธัตถะ มีความหมายว่า มีความสำเร็จในสิ่งที่พึงประสงค์
- อสิตดาบส มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กาฬเทวินดาบส
- พระเจ้าสุทโธทนะ มีราชโอรสธิดาอีก ๒ พระองค์ คือ นันทกุมาร และ รูปนันทา
- ดาบสที่ได้ชื่อว่าเป็นกุลุปฐาก เป็นที่นับถือของพระเจ้าสุทโธทนะ คือ อสิตดาบส
- สิทธัตถราชกุมาร ได้ปฐมฌาน เมื่อครั้ง ทำพิธีแรกนาขวัญ
- มูลเหตุอะไร ที่ทำให้สิทธัตถกุมารออกบรรพชา ทรงเห็นเทวทูต ๔
- เทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ
- สิทธัตถกุมาร เสด็จออกบรรพชาด้วยตนเอง เรียกว่า บวชด้วยการอธิษฐานเพศ
- ผ้ากาสายะ หรือผ้ากาสาวะ คือผ้า ที่ย้อมด้วยน้ำรสฝาด สีเหลืองหม่น
- เมื่อสิทธัตถะออกบวชนั้น ทรงได้ผ้าและบาตรจากใคร ฆฏิการพรหมนำมาถวาย
- คำว่า บรรพชิต แปลว่า ผู้เว้นจากการทำความชั่ว ด้วยกาย วาจา ใจ
- คำว่า สมณะ แปลว่า ผู้สงบ (คือมีกายวาจาใจสงบ)
- คำว่า ภิกษุ แปลว่า ผู้ขอ หรือ ผู้เห็นภัย (ในสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด)
- คำว่า พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ (คือมีกาย วาจา ใจประเสริฐ)
- คำว่า พระมหาบุรุษ แปลว่า บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ (ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่คือความหลุดพ้น)
- คำว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในการตรัสรู้(ผู้บำเพ็ญบารมีธรรมก่อนตรัสรู้)
- คำว่า เสด็จออกมหาภิเนษกรมษณ์ หมายความว่า เสด็จออกบวช
- คำว่า ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาเทศนาโปรด เป็นคำพูดของ พระเจ้าพิมพิสาร
- คณาจารย์ใหญ่ที่เสด็จไปศึกษาถึงลัทธิต่าง ๆ คือ อาฬารดาบส และ อุทกดาบส
- ทรงศึกษาในสำนักของอาจารย์ทั้งสอง ได้สำเร็จ สมาบัติ ๘
- คำว่า ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา หมายความว่า ทรมานพระกายให้ลำบาก
- คำว่า ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ หมายความว่า เอาฟันกดฟันไว้ (กัดฟัน)
- คำว่า กดพระตาลุด้วยพระชิวหา หมายความว่า เอาลิ้นกดเพดานปากไว้
- การบำเพ็ญทุกรกิริยา วาระที่ ๑ กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา
- การบำเพ็ญทุกรกิริยา วาระที่ ๒ ผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ(หายใจเข้าหายใจออก)
- การบำเพ็ญทุกรกิริยา วาระที่ ๓ อดพระอาหาร
- สาเหตุที่ทำให้เลิกการทำทุกรกิริยา เพราะ เกิดอุปมา ๓ ข้อ เปรียบเทียบ(ได้ความคิด)
- ในขณะที่บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่นั้น มีใครคอยเฝ้าปฏิบัติ พวกเบญจวัคคีย์
- เบญจวัคคีย์ มีใครบ้าง โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ
- ในเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นั้น ปรากฏว่าต่อมาได้เป็นปฐมสาวก ชื่อว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ
- คำว่า ปฐมสาวก ความหมายว่า สาวกองค์แรก (คือพระอัญญาโกณฑัญญะ)
- คำวา ปัจฉิมสาวก หมายความว่า สาวกองค์สุดท้าย (คือ พระสุภัททะ)
- คำว่า พุทธอุปัฏฐาก หมายถึง พระอานนทเถระ
- คำว่า อัตตกิลมถานุโยค หมายความว่า การทำตนให้ลำบาก(ทรมานตน)
- คำว่า กามสุขัลลิกานุโยค หมายความว่า การทำตนให้หมกหมุ่นติดอยู่ในความสุข(กาม)
- ทั้ง อัตตกิลมถานุโยค และ กามสุขัลลิกานุโยค เรียกชื่อว่า ที่สุดโต่ง ๒ อย่าง
- ที่สุด ๒ อย่างนี้ ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุหมกหมุ่น เพราะ ไม่ใช่หนทางตรัสรู้
- หนทางที่ทรงอนุญาตนั้น เรียกว่า มัชฌิมปฏิปทา (ทางสายกลาง)ทางแห่งการตรัสรู้
- สถานที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา คือ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
- นับตั้งแต่บรรพชา จนถึงตรัสรู้ เป็นระยะเวลา ๖ ปี เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ ปี
- ตรัสรู้ในวัน วิสาขะ ที่ ใต้ร่มไม้อัสสัตถพฤกษ์(ต้นโพธิ์) ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี
- พุทธศักราช หรือ พ.ศ. เริ่มนับตั้งแต่ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเป็นต้นไป
- พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
- ในปฐมยาม ทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (คือ ระลึกชาติหนหลังได้)
- ในยามที่ ๒ ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ (คือ การรู้การเกิดและดับของสัตว์ทั้งหลาย)
- ในปัจฉิมยา ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ (คือ การทำอาสวะ(กิเลส)ให้หมดสิ้น)
- ข้าวมธุปายาส ได้แก่ ข้าวสุก ที่หุงด้วยน้ำนมโคล้วน
- บิณฑบาต ที่มีผลมากมีอานิสงส์มาก ๒ คราว คือ ปฐมบิณฑบาต ปัจฉิมบิณฑบาต
- ปฐมบิณฑบาต คือ ข้าวมธุปายาส ที่นางสุชาดาถวายก่อนตรัสรู้
- ปัจฉิมบิณฑบาต คือ สุกรมัททวะ ที่นายจุนทะโกมารบุตรถวายก่อนจะปรินิพพาน
- บิณฑบาตทั้ง ๒ ครั้งนี้ พระพุทธองค์ตรัสบอกใครไว้ พระอานนทเถระ
- ก่อนตรัสรู้ทรงรับหญ้าคาจากพราหมณ์ ชื่อว่า โสตถิยะ
- ธรรมเนียมใช้หญ้าคายังติดมาจนทุกวันนี้ สังเกตได้จากพิธี ประพรมน้ำพระพุทธมนต์
- บารมี ๑๐ ทัศ ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
- บารมี หรือ บารมีธรรม แปลว่า การสั่งสมความดี
- ในขณะที่สั่งคมความดี หรือสร้างบารมีอยู่นั้น เรียกว่า พระโพธิสัตว์
- เนมิตตกะนาม คือ พระนามว่า อรหํ และ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
- คำว่า อรหํ แปลว่า ผู้ถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสาสวะ
- คำว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ แปลว่า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
- ปฐมเทศนา คือ พระธรรมเทศนาครั้งแรก มีชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
- เนื้อความในธัมมจักกัปปตนสูตร กล่าวถึง สิ่งที่บรรพชิตไม่ควรเสพ(ประพฤติปฏิบัติ) เรียกว่า ที่สุด หรือที่สุดโต่ง มี ๒ อย่าง คือ อัตตกิลมถานุโยค ได้แก่ การทำตน(ทรมาน)ให้ลำบาก และ กามสุขัลลิกานุโยค ได้แก่ การหมุกหมุ่นในกามสุขแล้วทรงชี้หนทางที่ควรเสพ(ประพฤติปฏิบัติ) คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
- เมื่อตรัสรู้แล้ว ประทับเสวยวิมุตติสุข ที่ไหน ภายใต้ร่มไม้มหาโพธิ์ ๗ วัน
- คำว่า เสวยวิมุตติสุข ได้แก่ ความสุขที่เกิดจากความหลุดพ้นจากกิเลส
- คำว่า ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ๆ นั้น คือ เหตุเกิดและดับ ที่อาศัยกันและกัน
- ปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกชื่อว่า ปัจจยาการ (เหตุปัจจัยที่อาศัยกันดุจลูกโซ่)
- สัปดาห์ที่ ๑ ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ที่ ใต้ต้นมหาโพธิ์
- สัปดาห์ที่ ๒ ทรงพบพราหมณ์ หึ หึกชาติ ทูลถามปัญหาอะไร ลักษณะพราหมณ์ ธรรมะที่ทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์ ที่ ภายใต้ร่มไม้ชื่อว่า อชปาลนิโครธ
- ศีวาราตรี คือ พิธีลอยบาปของพราหมณ์
- สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จไปยังไม้จิก ซึ่งเรียกวา มุจจลินท์
- สัปดาห์ที่ ๔ พบพาณิช ๒ คน ชื่อ ตปุสสะ ภัลลิกะ ที่ ไม้เกต ราชายตนะ
- พาณิช ๒ คน ได้รับผล คือ เป็นอุบาสกคนแรก ที่ถึงรัตนะ ๒ (พระพุทธ พระธรรม)
- อนิมิสเจดีย์ คือสถานที่ ที่พระพุทธเจ้ายืนจ้องดูพระมหาโพธิ์โดยมิได้กระพริบพระเนตร
- ทรงเนรมิตที่จงกรมขึ้น ระหว่างต้นโพธิ์กับอนิมิสเจดีย์ สถานที่นั้นเรียกว่า รัตนจงกรมเจดีย์
- สถานที่ทรงพิจารณาอภิธรรมปิฎก เรียกว่า รัตนฆรเจดีย์
- อาศัยอะไร ครั้งแรกจึงไม่ปรารถนาจะสั่งสอนธรรมแก่เวไนยสัตว์ พระมหากรุณา
- พระมหากรุณาคุณ นี้ท่านเปรียบเป็นปุคลาธิษฐานเหมือนใคร ท้าวมหาพรหมทูลเชิญให้แสดงธรรม
- มีหลักฐานอะไรเป็นเครื่องอ้าง คำอาราธนาธรรม(พฺรหฺมา จ โลกาธิปฺปตี สหมฺปติ)
- บุคคล ๔ เหล่า คือ อุคฆติตัญญุ วิปจิตัญญู เนยะ ปทปรมะ
- อุคฆติตัญญู เปรียบเหมือน บัวที่พ้นน้ำ สามารถที่จะ ตรัสรู้เร็วพลัน
- วิปจิตัญญู เปรียบเหมือน บัวที่เสมอน้ำ สามารถที่จะรู้ แต่ต้องอธิบาย
- เนยยะ เปรียบเหมือน บัวที่อยู่กลางน้ำ สามารถที่ จะตรัสรู้ได้ ต้องแนะนำมากหน่อย
- ปทปรมะ เปรียบเหมือน บัวที่อยู่ใต้น้ำในเปือกในตม มีแต่จะ เป็นอาหารของปลาและเต่า
- ครั้งแรกที่ปรารภจะแสดงธรรม ทรงนึกถึงใครก่อน อาฬารดาบส อุทกดาบส
- ต่อมาทรงนึกถึง เบญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ คน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ
- ธรรมที่ทรงแสดงโปรดเบญจวัคคีย์ มีชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร
- ธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ แสดงที่ไหน ป่าอิสิปตนมฤคทาวัน แขวงเมืองพาราณสี
- ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ได้รับผล คือ โกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม
- โกณฑัญญะ เรียกว่าเป็น ปฐมสาวก และเป็น สังฆรัตนะ บังเกิดขึ้นครบ ๓
- วันพระพุทธ ได้แก่วัน วิสาขบูชา (วันที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
- วันพระธรรม ได้แก่วัน มาฆะบูชา (วันที่ประชุมสงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์แล้วประกาศหลักธรรม)
- วันพระสงฆ์ ได้แก่วัน อาสาฬหบูชา (วันที่อริยสงฆ์เกิดขึ้นในโลกเป็นองค์แรก)
- การบวชของท่านโกณฑัญญะ เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
- เบญจวัคคีย์ ได้ฟังธรรมเทศนาชื่ออะไร จึงบรรลุธรรมชั้นสูงพร้อมกัน อนัตตลักขณสูตร
- อนัตตลักขณสูตร เป็นพระธรรมเทศนาที่ว่าถึงเรื่อง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
- คำว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เป็นคำอุทานของใคร ยสะกุลบุตร
- ยสะกุลบุตร ได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ
- อนุปุพพิกถา กล่าวถึงเรื่อง การพรรณนาคุณของทาน ศีล สวรรค์ กามาทีนพ เนกขัมมานิสงส์ เป็นการพรรณนาไปตามลำดับ จากเบื้องต่ำไปหาเบื้องสูง จนเห็นอานิสงส์ในการออกบวช
- ยสะ ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ได้รับผล ครั้งแรก เป็นพระโสดาบัน
- ยสะ ได้ฟังอนุปพพีกถาและอริยสัจ ได้รับผล ครั้งที่ ๒ เป็นพระอรหันต์
- บิดามารดาและภรรยาเก่า ได้ฟังแล้ว ได้รับผล คือ เป็นอุบาสก อุบาสิกาคนแรกผู้ถึงรัตนะ ๓
- การถึงรัตนะ หรือการแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา หมายความว่า ผู้นั่งใกล้พระรัตนะ
- คำว่า เทฺววาจิกอุบาสก หมายถึง อุบาสกผู้ถึงรัตนะ ๒ คือ พระพุทธ พระธรรม
- คำว่า เตวาจิกอุบาสก หมายถึง อุบาสกผู้ถึงรัตนะ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
- การบวชในครั้งนั้นมี ๒ วิธี คือ เอหิภิกขุอุสัมปทา และ ติสรณคมนุปสัมปทา
- เอหิภิกขุอุปสัมปทา หมายถึง การอุปสมบท ที่ พระบรมศาสดาบวชให้เอง
- ติสรณคมนุปสัมปทา หมายถึง การอุปสมบท ที่ พระสาวกเป็นผู้บวชให้
- คำว่า แสวหาหญิงหรือแสวงหาตนดีกว่า เป็นคำพูดระหว่าง พระพุทธเจ้า – พวกภัททวัคคีย์
- พวกภัททวัคคีย์ ได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปุพพีกถา – อริยสัจ ๔ จึงได้ดวงตาเห็นธรรม
- ชฎิล คือ นักบวชนอกศาสนา นับถือลัทธิ บูชาไฟ
- พระพุทธองค์โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ
- พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงแก่พวกชฎิล ๓ พี่น้อง มีชื่อว่า อาทิตตปริยายสูตร
- อาทิตตปริยายสูตร คือพระสูตรที่ว่าด้วย ราคะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นของร้อยยิ่งกว่าไฟ
- สาเหตุที่พระบรมศาสนาทรงเลือกเอาเมืองราชคฤห์ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา คือ เป็นเมืองใหญ่ มีเจ้าลัทธิคณาจารย์มาก ถ้าปราบพวกเจ้าลัทธิลงได้ก็สามารถเผยแผ่ศาสนาได้
- วัดแห่งแรกในพุทธศาสนาชื่อ วัดเวฬุวัน ผู้สร้างถวายคือ พระเจ้าพิมพิสาร
- อุปติสสะ เป็นชื่อเดิมของ พระสารีบุตร โกลิตะ เป็นชื่อเดิมของ พระโมคคัลลานะ
- อุปติสสะ กับ โกลิตะ เดิมเป็นศิษย์ในสำนักของ สัญชัยปริพาชก
- อุปติสสะ ได้ฟังธรรมจาก พระอัสสชิเถระ จึงได้บรรลุคุณธรรมเบื้องต้น คือ โสดาบัน
- พระโมคคัลลาะ ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศในทาง มีฤทธิ์
- ใครได้ฟังธรรมจากเพื่อน จึงสำเร็จตามเพื่อน โกลิตะมาณพ
- พระสารีบุตร ได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่าเลิศในทาง มีปัญญามาก
- พระเถระที่ได้รับยกย่องเปรียบเหมือนผู้ได้กำเนิด คือ พระสารีบุตร
- พระเถระที่ได้รับยกย่องเปรียบเสมือนพี่เลี้ยงนางนม คือ พระโมคคัลลานะ
- พระสารีบุตร ได้สำเร็จพระอรหันต์ เพราะฟังธรรมเทศนาชื่อ เวทนาปริคคหสูตร
- เวททนาปริคคหสูตร พระศาสดาทรงแสดงแก่ ทีฆนขปริพาชก ที่ ถ้ำสุกรขาตา
- พระโมคคัลลานะ สำเร็จพระอรหันต์ เพราะฟัง อุบายแก้ง่วง จาก พระศาสดา
- ข้อว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบในหมด เป็นคำพูดของ ทีฆนขะปริพาชก
- ทีฆนขะปริพาชก ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาว่า เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ตามประทีปในที่มืด
- พระสารีบุตร ได้รับยกย่องว่าเป็นยอดของบุคคลกตัญญู เพราะ นึกถึงอุปการคุณที่ราธะพราหมหณ์ใส่บาตรเพียงทัพพีเดียวได้
- บริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
- ภิกษุผู้ได้รับยกย่องว่า เป็นนวกัมมัฏฐายี คือ พระโมคคัลลานะ
- พระเถระที่ได้ชื่อว่ามีความเคารพในอาจารย์มาก คือ พระสารีบุตร สังเกตได้จาก ทุกครั้งทีได้ข่าวว่าพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์อยู่ทางทิศใด เวลานอนจะนอนศีรษะไปทางทิศนั้นเสมอ
- นครหลวงของแคว้นมคธ มีชื่อว่า กรุงราชคฤห์
- แคว้นมคธ มีการปกครองในระบอบ ราชาธิปไตย โดย พระเจ้าพิมพิสาร
- พระบรมศาสดา ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ในแคว้น มคธ
- เหตุผลที่พระบรมศาสดาทรงเลือกเอาแคว้นนั้น เพราะ เป็นแคว้นใหญ่ มีเจ้าลัทธิคณาจารย์มากมาย เมื่อสามารถทำให้เจ้าลัทธิคณาจารย์นับถือได้ คนอื่น ๆ ก็จะนับถือ
- พระเจ้าพิมพิสาร เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ ลัฏฐีวัน พร้อมด้วยบริวาร ๑๒ ส่วน
- พระเจ้าพิมพิสารกับบริวาร ๑๑ ส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ และอีก ๑ ส่วนได้รับผล คือ ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์
- วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ เวฬุวันมหาวิหาร ผู้สร้างถวายคือ พระเจ้าพิมพิสาร
- อัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า คือ พระมหาโมคคัลลานะ เลิศในทาง มีฤทธิ์มาก
- อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า คือ พระสารีบุตร เลิศในทาง มีปัญญามาก
- พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นชาวเมือง ราชคฤห์
- ปิปผลิมาณพ เป็นชื่อเดิมของ พระมหากัสสปะ
- ปิปผลิมาณพ ออกบวชเพราะ เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือน
- ออกบวชด้วยลักษณะ คือ บวชด้วยตนเองโดยอุทิศพระอรหันต์
- ปิปผลิมาณพได้พบพระพุทธเจ้า ที่ ใต้ร่มไทร ชื่อว่า พหุปุตตกนิโครธ ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง ราชคฤห์ กับ นาลันทา
- เมื่อพบพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใส จึงทูลขอบวช พระพุทธเจ้าประทานการอุปสมบทให้โดยวิธีที่เรียกว่า รับพระโอวาท ๓ ประการ
- การบวชของพระมหากัสสปะ สงเคราะห์เข้าในวิธีที่เรียกวา เอหิภิกขุอุปสัมปทา
- ปิปผลิตมาณพ เมื่อบวชแล้ว เพื่อนสหธรรมิกเรียกท่านว่า พระมหากัสสปะ
- คำว่า เพื่อนสหธรรมิก หมายถึง ผู้ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน (ภิกษุสงฆ์)
- การบวชด้วยตนเองคล้ายกับธรรมเนียมของพราหมณ์ที่เรียกว่า สันยาสี
- พระมหากัสสปะ บวชได้ ๘ วัน จึงสำเร็จพระอรหัต และได้รับยกย่องว่าเลิศในทาง ถือธุดงค์ (ชอบใช้ผ้าบังสุกุล บิณฑบาตเป็นวัตร ชอบอยู่ในป่าเป็นวัตร)
- วันจาตุรงคสันนิบาต การทำขึ้นที่ เวฬุวนาราม ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
- วันจาตุรงคสันนิบาต พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรม ที่เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์
- ใครเป็นต้นเหตุให้พระศาสดาทรงอนุญาตให้สร้างเสนาสนะถวายได้ คือ ราชคฤหเศรษฐี
- เสนาสนะที่ทรงอนุญาต มี ๕ ชนิด คือ (๑)วิหาร (๒) อัฑฒโยค (๓) ประสาท (๔)หัมมิยะ (๕)คูหา
- การทำบุญที่เรียกว่าปุพพเปตพลี มีต้นเค้ามาจาก ธรรมเนียมพราหมณ์
- การทำบุญที่เรียกว่าปุพพเปตพลี หมายถึง การทำบุญอุทิศให้คนตาย
- การทำปุพพเปตพลี เป็นการกระทำที่แสดงออกให้เห็นถึงคุณธรรม คือ กตัญญูกตเวที
- การบวชที่พระบรมศาสนาประทานบวชให้ด้วยพระองค์เอง เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
- พระเถระรูปแรกที่บวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ
- ต่อมาทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชให้ โดยให้เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง วิธีนี้เรียกว่า ติสรณคมนุปสัมปทา
- ภายหลังยกเลิกการบวชแบบติสรณคมนุปสัมปทา และแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ทรงมอบให้สงฆ์บวชให้ การบวชชนิดนี้ เรียกว่า ญัตติจตุตถกรรมวาจาอุปสัมปทา
- พระเถระรูปแรกที่บวชด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาอุปสัมปทา คือ พระราธะ
- ผู้จะอุปสมบทต้องมีภิกษุผู้รับรอง เรียกว่า อุปัชฌายะ
- อุปัชฌายะที่บวชให้ราธะพราหมณ์ คือ พระสารีบุตร
- ความเป็นประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด คือเรื่อง การให้อุปสมบทกุลบุตร ด้วยวิธีที่เรียกว่า ญัตติจตุตถกรรมวาจา
- คำว่า สงฆ์ นั้น ต้องประชุมภิกษุพร้อมกัน ตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไปจึงจะเรียกว่าสงฆ์
- ผู้ที่ทูลเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ คือ กาฬุทายีอำมาตย์
- คำว่า สหชาติกับพระพุทธเจ้า นั้น หมายความว่า เกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า
- สหชาติ มี ๗ อย่าง ได้แก่ (๑)พระนามพิมพา (๒)พระอานนท์ (๓)นายฉันนะ (๔) กาฬุทายีอำมาตย์ (๕) ม้ากัณฐกะ (๖) ต้นโพธิ์ (๗) ขุมทรัพย์ทั้ง ๔
- พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ที่ นิโครธาราม
- พระพุทธเจ้าเสด็จจากกรุงราชคห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงใช้เวลาเดินทาง ๒ เดือน
- ฝนโบกขรพรรษ ที่ตกลงมาในท่ามกลางหมู่ญาตินั้น ปรากฏว่ามีสี แดง
- หลังจากฝนโบกขรพรรษตกแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงชาดก คือ มหาเวสสันดรชาดก
- พระเจ้าสุทโธทนะ ได้สำเร็จเป็นพระโสดาปัตติผล เพราะฟังธรรม ชื่อ สุจริตธรรม
- อนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นชาวเมือง สาวัตถี เดิมชื่อว่า สุทัตต์
- สาเหตุที่ชื่อว่า อนาถปิณฑิกะ เพราะ เป็นคนใจบุญ มีก้อนข้าวสำหรับคนอนาถา
- อนาถปิณฑิกเศรษฐี เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ สีตวัน ได้ฟังธรรมเทศนาชื่อ อนุปพพีกถาและอริยสัจ ๔ ได้รับผล คือ บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงแสดงตนเป็นอุบาสก
- อนาถปิณฑิกเศรษฐี ต่อมามีศรัทธาได้สร้างอารามถวายพระพุทธเจ้า ชื่อว่า เชตวัน
- การปลงพระชนมายุสังขาร หมายความว่า การกำหนดวันปรินิพพาน(ตาย)
- พระพุทธองค์ ทรงทำการปลงอายุสังขาร ที่ ปาวาลเจดีย์
- วันปลงอายุสังขาร ตามตำรากล่าวว่าตรงกันวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
- วันที่พระพุทธเจ้า ทรงปลงอายุสังขาร เกิดเหตุอัศจรรย์ คือ แผ่นดินไหว
- เหตุเกิดแผ่นดินไหว พระพุทธองค์ตรัสบอกพระอานนท์ว่า มีด้วยกัน ๘ ประการ
- สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงทำนิมิตโอภาส ให้พระอานนท์ทราบ มีทั้งหมด ๑๖ ตำบล
- นิมิตโอภาส ในเมืองราชคฤห์ มี ๑๐ ตำบล ในเมืองเวสาลี มี ๖ ตำบล
- อภิญญาเทสิตธรรม พระพุทธองค์ทรงแสดงที่ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
- อภิญญาเทสิตธรรม ประกอบด้วยหลักธรรม ๓๗ ประการ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘๙
- พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย ที่เรียกว่านาคาวโลก นั้น หมายความว่า ทรงทอดพระเนตรแบบ มองอย่างช้างเหลียวหลัง
- อริยธรรม ๔ พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ ภิกษุสงฆ์ ที่บ้าน ภัณฑุคาม
- อริยธรรม ๔ ประการที่ทรงแสดง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ
- ทีบ้านภัณฑุคาม พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักธรรมว่าด้วยเรื่อง ไตรสิกขา มากที่สุด
- ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
- ปฏิปทาแห่งวิมุตติ พระองค์ทรงแสดงที่บ้านภัณฑุคามนั้น ได้แก่ ไตรสิกขา
- และตรัสสอบต่อไปว่า วิมุตติ เป็น แก่น แห่งพระธรรมวินัย
- มหาปเทส ๔ พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ขณะประทับอยู่ที่ อานันทเจีดย์ เขตโภคนคร
- มหาปเทส ๔ กล่าวถึงเรื่อง ลักษณะที่จะตัดสินว่า ใช่ธรรมะใช่วินัยของพระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่วินัยของพระพุทธเจ้า
- นายจุนทะ เป็นบุตรของ นายบ้านช่างทอง
- อาหารที่นายจุนทะถวายพระพุทธเจ้า เรียกว่า สุกรมัททวะ
- อาหารชนิดนี้ ตามทางสันนิษฐาน ได้แก่ เห็ดหมูอ่อนในเมืองไทย
- สาเหตุที่พระพุทธเจ้ารับนั่งนายจุนทะ ให้นำสูกรมัททวะที่เหลือไปฝัง เพราะ เป็นอาหารที่ย่อยยาก
- ผู้ที่นำผ้าสิงคิวรรณ เข้าไปถวายพระพุทธเจ้า คือ ปุกกุสะ เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันเมื่อครั้ง เสด็จไปทรงศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส กาลามโคตร
- ปุกกุสะ ได้ฟังธรรมเทศนา ชื่อ สัตติวิหารธรรม จึงเกิดความเลื่อมใสนำผ้าสิงคิวรรณเข้าไปถวาย
- บิณฑบาตทาน ที่พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า มีผลเท่ากัน มีอานิสงส์เท่ากัน มีด้วยกัน ๒ ครั้ง คือ (๑) บิณฑบาตที่พระตถาคตบริโภคแล้วตรัสรู้ (๒) บิณฑบาตที่ตถาคตบริโภคแล้วปรินิพพาน
- พระแท่นที่บรรทมปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ระหว่างต้น สาละทั้งคู่ ผันที่สูงเบื้องพระเศียรไปทางทิศ อุดร
- การบรรทมที่เรียกวา ทรงสำเร็จสีหไสยา นั้น คือการนอน ตะแคงข้างขวา
- การบรรทมชนิดนี้ เรียกว่า อนุฏฐานไสยา หมายถึง ไม่ปรารถนาที่จะลุกขึ้นอีก
- บรรดาการบูชาทั้งหลาย การบูชาที่พระองค์ตรัสสรรเสริญ คือ ปฏิบัติบูชา
- การบูชาที่จะยังพระศาสนาให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง คือ ปฏิบัติบูชา
- สถานที่ชาวพุทธควรจะดู ควรจะเห็น ควรให้เกิดสังเวช เรียกว่า สังเวชนียสถาน
- สถานที่ควรดู ควรเห็น ควรสังเวช มี ๔ ตำบล คือ (๑)สถานที่พระสูติ (๒)สถานที่ตรัสรู้ (๓)สถานที่แสดงธรรมจักร (๔) สถานที่ปรินิพพาน
- สถานที่ประสูติ ในปัจจุบัน เรียกว่า ตำบลรุมมินเด อยู่ในประเทศ เนปาล
- สถานที่ตรัสรู้ ในปัจจุบัน เรียกว่า พุทธคยา อยู่ในประเทศ อินเดีย
- สถานที่แสดงปฐมเทศนา ในปัจจุบันเรียกว่า สารนาท อยู่ในประเทศ อินเดีย
- สถานที่ปรินิพพาน ในปัจจุบัน เรียกว่า กุสินารา อยู่ในประเทศ อินเดีย
- บุคคลที่ควรแก่การประดิษฐานไว้ในสถูป เรียกว่า ถูปารหบุคคล
- บุคคลที่ควรแก่การประดิษฐานไว้ในสถูป มีด้วยกัน ๔ จำพวก ได้แก่ (๑)พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า (๓) พระอรหันต์ (๔) พระเจ้าจักรพรรดิ์
- เมืองที่พระพุทธองค์เสด็จไปปรินิพพาน คือเมือง กุสินารา เดิมชื่อว่า กุสาวดี
- พระอรหันตสาวกองค์สุดท้าย ที่เรียกว่า สักขิสาวก นั้น สุภัททปริพาชก
- คำว่า สักขิสาวก นั้น มีความหมายว่า สาวกทันเห็นองค์สุดท้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
- สุภัททปริพาชก เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ที่ ป่าสาลวัน เมือง กุสินารา
- สุภัททปริพาชนก เข้าเฝ้าแล้วได้ทูลถามถึง ติตถกรคณาจารย์ครูทั้ง ๖
- ครูทั้ง ๖ ที่สุภัททปริพาชกถามถึงนั้น คือ (๑)ปูรณกัสสปะ (๒)มักขลิโคสาล (๓) อชิตเกสกัมพล (๔) ปกุทธกัจจายนะ (๕) สัญชยเวลัฏฐบุตร (๖) นิครถนานฏบุตร
- พระพุทธองค์กลับทรงแสดงธรรม คือเรื่อง มรรคาคือข้อปฏิบัติมีองค์ ๔ ประการ มีอยู่ในพระธรรมวินัยใด สมณะที่ ๑ – ๒- ๓ -๔ ย่อมมีในพระธรรมวินัยนั้น
- คำว่า สมณะที่ ๑ – ๒- ๓ -๔ ในพระธรรมเทศนานั้น หมายถึง สมณะที่ ๑ ได้แก่ พระโสดาบัน สมณะที่ ๒ พระสกทาคามี สมณะที่ ๓ ได้แก่ พระอนาคามี สมณะที่ ๔ ได้แก่ พระอรหันต์
- สุภัททปริพาชก เดิมเป็น นักบวชนอกศาสนามาก่อน คือเป็นเดียรถีย์ จะบรรพชาอุปสมบท ต้องปฏิบัติตามวิธีที่เรียกว่า ติตถิยปริวาส ก่อนจึงจะบวชได้
- การอยู่ปริวาสนั้น จะต้องอยู่ ๔ เดือน สุภัททปริพาชกกลับขออยู่นานถึง ๔ ปี
- สุภัททปริพาชก ได้บรรพชาอุปสมบทจาก พระอานนท์
- เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ทรงมอบให้สงฆ์ยึดถือ พระธรรมวินัย เป็นศาสดาแทน
- วิธีลงพรหมทัณฑ์ พระองค์ทรงแนะพระสงฆ์ให้กระทำแก่ พระฉันนะ ภายหลังปรินิพพานแล้ว
- วิธีลงพรหมทัณฑ์ ที่ทรงแนะนำนั้นคือ ไม่ว่ากล่าว ไม่โอวาท ไม่สั่งสอน อย่างใดทั้งสิ้น
- พระโอวาที่ตรัสเตือนภิกษุสงฆ์เป็นครั้งสุดท้าย เรียกว่า ปัจฉิมโอวาท
- คำสั่งสอนครั้งสุดท้าย พระองค์ตรัสเตือน คือ ความไม่ประมาท
- พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานในวัน อังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๑ ปี
- พระอานนทเถระ ได้รับบัญชาจาก พระอนุรุทธเถระ ไปแจ้งข่าวปรินิพพานแก่มัลลกษัตริย์
- การปฏิบัติในพระพุทธสรีระ รับสั่งให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน พระเจ้าจักรพรรดิ์
- คำว่า บรรดาสัตว์ทั้งปวงในโลก ล้วนจะต้องทิ้งร่างกายไว้ถมปฐพี เป็นคำกล่าวของท้าวสหัมบดีพรหม
- คำว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยงนั่น เป็นคำกล่าวของ ท้าวโกสิยเทวราช
- คำว่า พระพุทธเจ้า มีจิตมั่นคงในโลกธรรม ไม่หวั่นไหวสะทกสะท้านต่อมรณธรรมเป็นคำกล่าวของ พระอนุรุทธเถระ
- พระมหากัสสปะ ได้ข่าวปรินิพพานจาก อาชีวก ซึ่งถือดอกมณฑารพในระหว่างทาง
- พระมหาสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วัน พระมหากัสสปะจึงได้ข่าวคราวปรินิพพาน
- พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่นานก็เกิดเสี้ยนหนาม คือ หลวงตาสุภัททะ กล่าวจ้องจาบพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า โดยไม่เกรงขาม
- หลังจากถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าแล้ว มีบางส่วนที่ไฟไม่ไหม้ คือ (๑)พระอัฐิ (๒)พระเกสา (๓)พระโลมา (๔) พระนขา (๕)พระทันตา กับ ผ้าคู่หนึ่ง
- วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า เรียกว่าวัน วิสาขอัฏฐมีบูชา
- มัลลกษัตริย์เชิญพระสารีริกธาตุ ไปประดิษฐานที่ สัณฐาคารศาลา เมือง กุสินารา
- ผู้ที่จัดการแบ่งพระสารีริกธาตุ คือ โทณพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น ๘ ส่วน
- โมริยกษัตริย์ เมืองปิปผลิวัน ส่งทูตมาขอภายหลังได้ พระอังคาร(เถ้าถ่าน) ไปแทน
- เจดีย์ที่โมริยกษัตริย์ สร้างบรรจุส่วนที่เหลือจากพระสารีริกธาตุ เรียกว่า อังคารเจดีย์
- เจดีย์ที่สร้างเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า มี ๔ ประเภท คือ (๑)ธาตุเจดีย์ สำหรับบรรจุพระสารีริกธาตุ (๒) บริโภคเจดีย์ สำหรับบรรจุสมณบริขาร เช่น บาตร (๓) ธรรมเจดีย์ สำหรับบรรจุพระพุทธวจนะ(คัมภีร์) (๔) อุทเทสิกเจดีย์ สำหรับบรรจุพระพุทธรูป
- หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้ ๓ เดือน จึงมีการสังคายนาพระธรรมวินัย
- คำว่า สังคายนา หมายถึง การร้อยกรอง รวบรวมพระธรรมวินัยให้เข้าเป็นหมวดหมู่
- การร้อยกรอง แบ่งออกเป็นหมวดได้ ๓ หมวด เรียกว่า พระไตรปิฎก
- ที่เป็นกฎระเบียบ ข้อบังคับ เรียกว่า วินัยปิฎก
- ที่เป็นพระธรรมคำสอน ยกบุคคลเป็นอุทาหรณ์ เป็นนิทาน เรียกว่า สุตตันตปิฎก
- ที่เป็นธรรมะล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคลหรือนิทาน เรียกว่า อภิธรรมปิฎก
- สังคายนา มีด้วยกันทั้งหมด ๕ ครั้ง ในอินเดีย ๓ ครั้ง ในลังกา ๒ ครั้ง
- ครั้งที่เผยแผ่มาถึงประเทศไทย เป็นครั้งที่ ๓ ผู้เป็นประธานอุปถัมภ์คือ พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ที่นำพุทธศาสนาเข้าประเทศไทย คือ พระโสณะ กับ พระอุตตระ
- การสังคายนาที่มีการบันทึกจารึกลงในใบลาน คือสังคายนาครั้งที่ ๕ กระทำที่ อาโลกเลณสถาน ในมลัยชนบท ประเทศลังก




