คำชี้แจง ข้อสอบมี ๓ ตอน ประกอบด้วย.-
ตอนที่ ๑ เป็นคำถามแบบเติมข้อความสั้น ๆ และอธิบายพอเข้าใจ รวม ๒๐ คะแนน
ตอนที่ ๒ เป็นคำถามแบบให้แสดงแนวความคิด ความเข้าใจของนักเรียน รวม ๒๐ คะแนน
ตอนที่ ๓ เป็นคำถามแบบเลือกตอบ ให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว รวม ๒๐ คะแนน
ตอนที่ ๑ จงตอบคำถามด้วยคำหรือข้อความสั้น ๆ โดยเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบ รวม ๒๐ คะแนน
๑. ศีล คือ การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย มีความเป็นอยู่ที่ปกติ
๒. สมาธิ หมายถึง การอบรมจิตของตนให้มีความสงบ ด้วยการทำจิตของตนให้อยู่ในอารมณ์เดียว
๓. อานาปาณสติ คือ การกำหนดลมหายใจเข้า – ลมหายใจออก เมื่อหายใจเข้าก็มีสติรู้ หายใจออกก็มีสติรู้
๔. สังคายนา คือ การรวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เข้าไว้เป็นหมวดหมู่เดียวกัน
๕. วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา มี ๖ วัน คือ วันมาฆบูชา, วันวิสาขบูชา, วันอัฏฐมีบูชา, วันอาสาฬบูชา, วันเข้าพรรษา, วันออกพรรษา.
๕. วัน “จาตุรงคสันนิบาต” หมายถึง วันที่มีการประชุมพร้อมกันด้วยองค์ ๔ เช่น พระสงฆ์จำนวน ๑๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นต้น
๖. พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็น ๓ ปิฎก ได้แก่ ๑. พระวินัยปิฎก ๒. พระสุตตันตปิฎก ๓. พระอภิธรรมปิฎก
๗. ส่วนของพระไตรปิฎก ที่ว่าด้วยศีลของภิกษุและภิกษุณี เรียกว่า พระวินัยปิฎก
๘. ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คำอธิบาย/เหตุผล เพราะการถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะนั้น เป็นพื้นฐานเบื้องแรกของชาวพุทธเลยทีเดียว เพราะบุคคลที่มีที่พึ่งคือพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ย่อมต้องมีแก่นสารในชีวิตมีที่ยึดเหนียวจิตใจ ไม่หลงเชื่องมง่ายในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ใครก็ตามที่เชื่อในพระรัตนตรัยย่อมต้องมีเหตุมีผล และรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่เราก็ดูได้ยากว่าใครถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะเพราะเป็นสิ่งที่เรามองเห็นได้ยาก แต่การที่ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นผู้ที่รู้จักพระคุณของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่รู้จักพระคุณของพระธรรม เป็นผู้ที่รู้จักพระคุณของพระสงฆ์ คนที่รู้จักคุณค่าของพระรัตนตรัยย่อมต้องมีความศรัทธาอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธศาสนา ถ้าไม่เชื่อในพระรัตนตรัยแล้ว แม้แต่การรักษาศีลให้เคร่งครัดก็รักษาอยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่มีความเชื่อความศรัทธาในพระรัตนตรัย การถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะจึงเป็นเกณฑ์เบื้องแรกของชาวพุทธที่ดี
๙. สุตะ คำอธิบาย/เหตุผล เพราะทางที่ทำให้เกิดปัญญาได้นั้นคือการฟัง และการอ่าน เมื่อเราฟังมากๆ อ่านมากๆ เราก็ย่อมจะมีความรู้ ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่าบุคคลผู้ฟังมาก อ่านหนังสือมาก ย่อมเป็นพหูสูตคือเป็นผู้สามารถในการฟัง แต่ในสมัยก่อนจะไม่ค่อยมีการอ่านเพราะไม่มีหนังสือเหมือนกับทุกวันนี้ แต่ก็จัดการอ่านเข้าในการฟังด้วย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดความรู้เหมือนกัน
๑๐. พุทโธ คำอธิบาย/เหตุผล การเจริญพุทธานุสสติ นั้นมีความหมายว่าตามระลึกถึงพระพุทธเจ้า การที่เราฝึกสมาธิใหม่ๆ ส่วนมากจะได้รับคำแนะนำให้บริกรรมคำว่า พุท-โธ เพราะเป็นแนวทางที่ง่ายต่อการฝึกฝนอบรมจิตของตนให้เกิดสมาธิ ความตั้งมั่นแห่งจิต เมื่อจิตที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งไปกับอารมณ์ที่มากระทบ ย่อมก่อให้เกิดความสงบแห่งจิตใจ ไม่มีนิวรณ์คือกิเลสมากลุ้มลุมจิตอันทำให้จิตเศร้าหมองได้ ดังนั้น คำว่า พุท-โธ จึงเป็นคำที่คนทั่วไปก็รู้จัก และง่ายต่อการจดจำ เมื่อเราฝึกสมาธิ คำว่า พุท-โธ จึงมีความจำเป็นที่ผู้ฝึกใหม่จะต้องใช้ แต่ก็อยู่ที่จริตและอุปนิสัยของแต่ละคนด้วย บางคนใช้คำว่า พุท-โธ ก็ยังไม่สามารถทำจิตให้เกิดความสงบได้ แต่ถ้าบริกรรมคำว่า ธัม-โม ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายกว่า พุท-โธ ก็มี อันนี้จึงอยู่ที่จริตและอุปนิสัยของแต่ละคน
ตอนที่ ๒ จงตอบคำถามด้วยการแสดงความคิดเห็น ให้อธิบายไม่ต่ำกว่า ๔ บรรทัด (ให้เลือกทำ ๔ ข้อๆ ละ ๕ คะแนน) รวม ๒๐ คะแนน
๑. คนที่มีปัญญาเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจโลกและชีวิต รู้จักละทุกข์แสวงหาความสุขในทางที่ถูกต้องได้ นักเรียนเห็นด้วยกับข้อความนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด
คำตอบ เห็นด้วย เพราะบุคคลมีปัญญาเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจโลกและชีวิต รู้จักละทุกข์แสวงหาความสุขในทางที่ถูกต้องได้ บุคคลที่เป็นคนโง่เขลานั้น ไม่สามารถเข้าใจโลกและชีวิต ไม่รู้จักละทุกข์แสวงหาความสุขเหมือนคนมีปัญญา เพราะมีตัวอวิชชาคือความไม่รู้ครอบงำจึงทำให้เขาไม่เข้าในโลกและชีวิต อย่างท่องแท้เหมือนคนมีปัญญา คนมีปัญญานั้นเป็นคนที่รู้อะไร ก็รู้อย่างทั่วถึง รู้อย่างแจ้งชัด คือสามารถรู้ในความเป็นไปของโลก รู้ถึงความเป็นไปของชีวิต และรู้เวลาไหนควรละทุกข์ เวลาไหนควรแสวงหาความสุข
๒. ความรักมี ๒ ระดับ คือ ความรักระดับต่ำ ๑ ความรักระดับสูง ๑ ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันอย่างไร
คำตอบ ความรักทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันดังนี้ ความรักระดับต่ำ คือความรักที่เห็นแก่ตัว เช่น เมื่อเราให้ความรักแก่เขาแล้ว ก็อยากจะได้ความรักนั้นตอบ เมื่อไม่ได้ก็ผิดหวัง อย่างเช่น ความรักของหนุ่มสาว เป็นต้น แต่ความรักระดับสูงนั้น เป็นความรักในขั้นของเมตตา คือความรักที่ไม่จำกัดกับสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แต่เป็นความรักที่มอบให้กับสิ่งต่างทั้งที่มีชีวิต และสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตก็ได้แก่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งสัตว์นรก ตลอดถึงมนุษย์ เป็นต้น สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ได้แก่ต้นไม้ กอหญ้า ภูเขา ลำธาร เป็นต้น เราให้ความรักระดับด้วยไม่จำกัดเฉพาะเจาะจง แต่เราแผ่ให้ทุกสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก และในจักรวาล เป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน
๓. ทำไมชาวพุทธจึงต้องประกอบพิธีกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
คำตอบ เพราะชาวพุทธรู้จักรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เป็นการสืบสานวัฒนธรรมอันดีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ และวันสำคัญต่าง ๆ ก็มีความเป็นมาเป็นไปที่แตกต่างกันไป แต่ก็มุ่งเน้นให้คนเราทำความดี ในพิธีกรรมนั้นๆ ให้ข้อคิดแก่ผู้ที่ได้เข้าประกอบพิธีกรรมด้วย ตัวพิธีกรรมเป็นตัวเชื่อมโยงชาวพุทธให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นก็คือก่อให้เกิดความสมานสามัคคีกันในหมู่ชาวพุทธ เพราะเป็นวันที่ทำให้ทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อทำความดี การทำความดีเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย ตัวพิธีกรรมเป็นตัวผูกจิตผูกใจของชาวพุทธให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เกิดความรักความศรัทธาในศาสนาของตน เห็นคุณค่าของศาสนาของตน
๔. เมื่อนักเรียนถูกต่อว่าด้วยอาการโกรธ หรือคำด่าของผู้อื่น นักเรียนควรปฏิบัติอย่างไร จึงจะเกิดความสุขขึ้นในใจ
คำตอบ เมื่อเราถูกต่อว่าด้วยอาการโกรธ หรือคำด่าของผู้อื่น เราจะต้องไม่ตอบโต้ หรือด่าตอบ ควรเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ทำไม่ให้เป็นอารมณ์ ไม่นำเอามาเป็นอารมณ์ มีสติระลึกรู้ในใจของตนเอง อย่าได้มีความโกรธตอบ เมื่อเราทำได้อย่างนั้น เขาก็จะหยุดด่าไปเอง การด่าตอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาได้ มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้เกิดขึ้น เมื่อเราไม่ด่าตอบการกระทบกระทั่งก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเราด่าตอบการกระทบกระทั่งกันย่อมเกิดขึ้น ฉะนั้น เราไม่ควรจะด่าตอบแต่ให้ใช้สติกำหนดรู้ตัวเอง ไม่ตอบโต้ เหมือนอย่างพระพุทธองค์ไม่ทรงด่าตอบพราหมณ์ชื่ออักโกสะ ผู้ด่าพระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ด่าตอบ แต่พระองค์ทรงใช้สติปัญญา ไหวพริบ ปฏิภาณ ในการแก้ไขปัญหาจนกระทั่งพราหมณ์เลื่อมใส ขอบวชในพระพุทธศาสนาสุดท้ายก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ตัดอาสวะกิเลสออกจากสันดานได้
๕. จงอธิบายความหมายของปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ มาพอเข้าใจ
คำตอบ ปริยัติ หมายถึงการศึกษาเล่าเรียนในวิชาการต่าง ๆ ในระดับต่ำ ก็คือการศึกษาวิชาชีพเพื่อเอาไปประกอบอาชีพของตนเอง ในระดับกลางและระดับสูงก็คือศึกษาเล่าเรียนพระธรรม และศึกษาในศีล สมาธิปัญญา
ปฏิบัติ นำเอาสิ่งที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้น ซึ่งเป็นภาคทฤษฎีนั้นนำมาปฏิบัติ การที่ได้นำเอาสิ่งที่เป็นทฤษฎีนั้นมาปฏิบัติ ย่อมสามารถจะรู้จักปัญหาที่จะเกิดขึ้น และทำให้เกิดประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่ทำก่อให้เกิดความชำนาญมากขึ้น ย่อมส่งผลไปถึงปฏิเวธ
ปฏิเวธ คือผลสำเร็จจากปริยัติ และปฏิบัติ การที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนในภาคทฤษฎีแล้วนำมาปฏิบัติจนเกิดผลสำเร็จในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามีความสุขกับผลสำเร็จนั้น เรียกว่าปฏิเวธก็ได้ หรือระดับสูงก็ถึงขั้นบรรลุเป็นพระโสดาบันจนกระทั่งถึงพระอรหันต์




