สรุป ข้อ 3. พระไตรปิฎก
3.1 คัมภีร์และโครงสร้างพระไตรปิฎก—พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า(และพระสาวกสำคัญ) แบ่งเป็น 3 หมวด คือ
1) พระวินัยปิฎก—คือ ส่วนที่ว่าด้วยสิกขาบทหรือศีลของภิกษุสงฆ์และภิกษุณี แบ่งเป็น 3 หมวด คือ
(1) สุตตวิภังค์ คือ ส่วนที่ว่าด้วยศีลในพระปาติโมกข์ หรือ ศีลสำคัญของภิกษุและภิกษุณี
(2) ขันธกะ คือ ส่วนที่ว่าด้วยสังฆกรรม พิธีกรรม วัตรปฏิบัติของพระ ตลอดจนมารยาทเพื่อความงามของสงฆ์
(3) ปริวาร คือ ส่วนที่สรุปข้อความหรือคู่มือพระวินัยปิฎก อธิบายในรูปคำถามคำตอบ เพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง
2) พระสุตตันตปิฎก—คือ ส่วนที่ว่าด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า(และของพระสาวกบางส่วน)ที่ทรงแสดงแก่บุคคลต่างๆในวาระโอกาสต่างกัน แบ่งเป็น 5 นิกาย คือ
(1) ทีฆนิกาย คือ หมวดที่ประมวลสูตรขนาดยาว
(2) มัชฌิมนิกาย คือ หมวดที่ประมวลสูตรขนาดปานกลาง
(3) สังยุตตนิกาย คือ หมวดที่ประมวลสูตรโดยจัดกลุ่มตามเนื้อหา เช่น กลุ่มสัจจะ เรียกว่า สัจจสังยุตต์
(4) อังคุตตรนิกาย คือ หมวดที่ประมวลหมวดธรรมจากน้อยไปหามาก เช่น เอกนิบาต เป็นหมวดว่าด้วยธรรมะหนึ่งข้อ ทุกนิบาต เป็นหมวดว่าด้วยธรรมสองข้อ
(5) ขุททกนิกาย คือ หมวดที่ประมวลเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆที่มิได้รวบรวมไว้ใน 4 นิกายข้างต้น แบ่งเป็น 15 ประเภท
3) พระอภิธรรมปิฎก—คือ ส่วนที่ว่าด้วยการอธิบายหลักธรรมในรูปวิชาการไม่เกี่ยวด้วยบุคคลและเหตุการณ์ แบ่งเป็น 7 คัมภีร์ คือ
(1) สังคณี คือ คัมภัร์ที่รวมข้อธรรมเป็นหมวดๆแล้วแยกอธิบายเป็นประเภทๆ
(2) วิภังค์ คือ คัมภีร์ที่แยกแยะข้อธรรมในสังคณี แล้วแสดงรายละเอียดเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้ง
(3) ธาตุกถา คือ คัมภีร์ที่จัดข้อธรรมลงในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ว่ามีข้อใดเข้ากันได้หรือไม่อย่างไร
(4) ปุคคลบัญญัติ คือ คัมภีร์ที่บัญญัติเรียกบุคคลต่างๆตามคุณธรรมที่มี
(5) กถาวัตถุ คือ คัมภีร์ที่อธิบายทรรศนะที่ขัดแย้งกัน โดยเน้นทรรศนะของเถรวาทที่ถูกต้อง
(6) ยมก คือ คัมภีร์ที่ยกธรรมขึ้นเป็นคู่ๆ เช่น กุศล-อกุศล แล้วอธิบายโดยวิธีถามตอบ
(7) ปัฏฐาน คือ คัมภีร์ที่อธิบายปัจจัยหรือเงื่อนไขทางธรรม 24 ประการ ว่าธรรมข้อใดเป็นเงื่อนไขแก่ธรรมข้อใด
3.2 เรื่อน่ารู้จากพระไตรปิฎก —พระไตรปิฎกสอดแทรกเรื่องราวที่ควรรู้และศึกษาไว้มากมาย เช่น เรื่อง อภิณหปัจจเวกขณ์ 5 หรือ ข้อที่สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาอยู่เสมอๆ 5 ประการ คือ
(1) ชราธมฺมตา คือ เรื่องที่ควรพิจารณาอยู่เสมอๆว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่สามารถหลีกหนีหรือล่วงพ้นความแก่ไปได้
(2) พฺยาธิธมฺมตา คือ เรื่องที่ควรพิจารณาอยู่เสมอๆว่า เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาไม่มีใครสามารถหลีกหนีหรือล่วงพ้นความเจ็ยป่วยไปได้
(3) มรณธมฺมตา คือ เรื่องที่ควรพิจารณาอยู่เสมอๆว่า เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่มีใครสามารถหลีกหนีหรือล่วงพ้นความตายไปได้
(4) ปิยวินาภาวตา คือ เรื่องที่ควรพิจารณาอยู่เสมอๆว่า เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
(5) กมฺมสฺสกตา คือ เรืองที่ควรพิจารณาอยู่เสมอๆว่า เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมไว้ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว เราก็ต้องตกเป็นทายาทของกรรมนั้น
การพิจารณาธรรมทั้ง 5 ข้อ นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดสติฉุกคิดถึงหลักความจริงว่าสิ่งเหล่านี้หลีกหนีไม่ได้ ต้องเกิดกับเราทุกคนจึงต้งไม่ยึดมั่นถือมั่นรีบเร่งประพฤติดีปฏิบัติชอบไว้เพื่อให้เข้าถึงสัจจธรรม
4. สรุป—สมัยพุทธกาล คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่รู้จักกันในนาม(เรียก) พระธรรมวินัย หลังพุทธปรินิพพานแล้วได้แยกออกเป็น 3 ปิฎก คือ พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก และพระวินัยปิฎก สืบทอดกันมาโดยมุขปาฐะ(การท่องจำ)และได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อพ.ศ. 450 พระไตรปิฎกประกอบด้วยคำสอนมากมายรวมถึงพุทธศาสนสุภาษิตซึ่งเป็นวาจาที่พระพุทธเจ้าประทานแก่มวลมนุษยชาติ เพื่อให้คติแง่คิดในการดำเนินชีวิตให้เกิดความสุข จึงถือว่าพุทธสาสนสุภาษิตมีคุณค่าแก่การศึกษายิ่ง อย่างไรก็ดีการศึกษาทั้งพุทธศาสนสุภาษิตหรือพระไตรปิฎก จำเป็นที่ต้องเข้าใจคำศัพท์ในพระพุทธศาสนาเพราะอาจมีความหมายแตกต่างไปจากภาษาสามัญก็ได้ ดังนั้นการศึกษาโดยนำความรู้ในองค์ประกอบต่างๆมาบูรณาการร่วมกันย่อมทำให้เกิดความเข้าใจในคำสอนและสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น




